แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 นำบันไดวางริมหน้าต่างชั้นบนบ้านผู้เสียหายและปีนไปเรียกผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายเปิดประตูออกมา จำเลยที่ 1 กอดอุ้มผู้เสียหายและกระทำอนาจารปลุกปล้ำผู้เสียหายที่บริเวณสนามหญ้าข้างหน้าบ้านพักผู้เสียหาย แม้สนามหญ้ากับบ้านพักไม่มีรั้วล้อมรอบ และไม่มีเครื่องหมายแสดงว่าเป็นแนวเขตของบ้านพักแต่ก็อยู่ข้างหน้าบ้านพักซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของผู้เสียหาย ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายในเวลากลางคืนอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุขและกระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้ายอันเป็นการกระทำต่อเนื่องไม่ขาดตอนกัน จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2537 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ มีอาวุธปืนพกไม่มีเครื่องหมายทะเบียน และกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 20 จำนวน 1 นัด โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ และพาอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปในหมู่บ้านและทางสาธารณะ โดยเปิดเผย โดยไม่มีเหตุอันสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว จำเลยที่ 1 บุกรุกเข้าบ้านพักอันเป็นเคหสถานซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยของนางสาวกัลยา สามารถ ผู้เสียหาย แล้วกระทำอนาจารผู้เสียหายโดยใช้กำลังประทุษร้ายกอดปล้ำกดผู้เสียหายให้นอนลง แล้วนอนทับกอดจูบและลูบคลำร่างกาย โดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91, 378, 362, 364, 365, 371 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 278, 362 ประกอบด้วยมาตรา 365(3), 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำอนาจาร จำคุก 2 ปี ฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน จำคุก 1 ปี ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืน เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก 6 เดือน สำหรับความผิดฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนและฐานกระทำอนาจาร คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม ชั้นสอบสวนและข้อนำสืบในชั้นพิจารณาของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษสำหรับความผิดทั้งสองดังกล่าวให้กึ่งหนึ่งฐานกระทำอนาจาร คงจำคุก 1 ปี ฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนคงจำคุก 6 เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานมีและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาตแล้วเป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 2มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิวรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 จำเลยที่ 2 อายุ 14 ปีเศษ ไม่สมควรพิพากษาลงโทษได้ว่ากล่าวตักเตือนแล้วปล่อยตัวไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ประกอบด้วยมาตรา 74(1)ข้อหาและคำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยที่ 1หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ในความผิดฐานกระทำอนาจารจำคุก 1 ปี 4 เดือน ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 4 เดือน ฐานพาอาวุธปืน จำคุก 4 เดือน สำหรับความผิดฐานกระทำอนาจาร ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 8 เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานมีและพาอาวุธปืน แล้วเป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 16 เดือน ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับข้อหาบุกรุก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติได้ว่า ในวัน เวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยทั้งสองเข้าไปในบริเวณโรงเรียนคลองตาหมื่น ตำบลทุ่งโพธิ์ อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี โดยจำเลยทั้งสองได้ร่วมดื่มสุราและรับประทานอาหารกับนายวิเชียร อุ่นชัย ที่บ้านพักครูในบริเวณโรงเรียนดังกล่าวใกล้กับบ้านพักนางสาวกัลยา สามารถ ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นครูอยู่ในโรงเรียนเดียวกันกับนายวิเชียร จากนั้นจำเลยที่ 1 ได้แยกตัวไปที่บ้านพักของผู้เสียหาย…
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนหรือไม่นั้น เห็นว่า คำว่า “เคหสถาน” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(4) บัญญัติความหมายของคำว่าเคหสถานไว้ว่า”…ให้หมายความรวมถึงบริเวณที่ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยนั้นด้วย จะมีรั้วล้อมหรือไม่ก็ตาม”เมื่อศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 นำบันไดเหล็กแบบพับขาไปกางตั้งวางริมหน้าต่างชั้นบนบ้านผู้เสียหายและปีนไปเรียกผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายเปิดประตูออกมา หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 กอดอุ้มผู้เสียหายและกระทำอนาจารกอดจูบปลุกปล้ำผู้เสียหายที่บริเวณสนามหญ้าข้างหน้าบ้านพักผู้เสียหายตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุตามเอกสารหมาย ป.จ.1 (ศาลจังหวัดหลังสวน) แม้สนามหญ้าดังกล่าวกับบ้านพักไม่มีรั้วล้อมรอบ และไม่มีเครื่องหมายแสดงให้ทราบว่าเป็นแนวเขตของบ้านพักก็ตาม แต่ก็เป็นที่เห็นได้ว่าบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งเป็นสนามหญ้านั้นอยู่ข้างหน้าบ้านพักซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของผู้เสียหาย ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายในเวลากลางคืนอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุขและกระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยกฟ้องโจทก์ข้อหานี้ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่การที่จำเลยที่ 1บุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายแล้วกระทำอนาจารผู้เสียหายเป็นการกระทำต่อเนื่องกันยังไม่ขาดตอนเจตนาของจำเลยที่ 1 ก็เพื่อกระทำอนาจารเท่านั้น จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทมิใช่ความผิดหลายกรรมต่างกัน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 278 มาตรา 365(1)(3) ประกอบด้วยมาตรา 362 การกระทำของจำเลยที่ 1เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 278 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 จำคุก 1 ปี 4 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2