คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6287/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 มาตรา 112 (1) และเทศบัญญัติของเทศบาลนครกรุงเทพ เรื่อง การจัดเก็บภาษีอากรและค่าธรรมเนียมบางประเภท (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2497 ข้อ 3 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า การค้าซึ่งสถานการค้าอยู่ในเขตเทศบาล ให้ผู้ประกอบการค้ามีหน้าที่เสียภาษีเพิ่มเพื่อเทศบาลอีกในอัตราร้อยละ 10 ของอัตราภาษีการค้าตาม ป.รัษฎากร ความมุ่งหมายของบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวเพื่อให้สถานการค้าในเขตเทศบาลกรุงเทพหรือกรุงเทพมหานครมีหน้าที่ต้องชำระภาษีเพิ่มเพื่อเทศบาล
ลูกหนี้ขายที่ดินไป 1 แปลง โดยไม่ปรากฏว่าลูกหนี้มีสถานการค้า จึงต้องถือว่าบ้านซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของลูกหนี้เป็นสถานการค้าตาม ป.รัษฎากร มาตรา 77 (เดิม) เมื่อสถานการค้าดังกล่าวอยู่ในเขตเทศบาลนครกรุงเทพหรือกรุงเทพมหานคร ลูกหนี้จึงมีหน้าที่ต้องชำระภาษีส่วนท้องถิ่น
ภาษีส่วนท้องถิ่นที่คำนวณมาจากเงินเพิ่มภาษีอากรการค้าจำนวน 80,052.50 บาท ในอัตราร้อยละ 10 เมื่อเงินเพิ่มจำนวน 35,145 บาท ถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือน ก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ภาษีส่วนท้องถิ่นจำนวน 3,514.50 บาท จึงอยู่ในลำดับที่จะได้รับชำระหนี้ตามมาตรา 130 (6) แห่ง พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 ส่วนเงินเพิ่มที่เหลือจำนวน 44,907.50 บาท ถึงกำหนดชำระเกินกว่า 6 เดือน ก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ภาษีส่วนท้องถิ่นจำนวน 4,490.75 บาท จึงอยู่ในลำดับที่จะต้องได้รับชำระหนี้ตามมาตรา 130 (8) แห่ง พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ (จำเลย) ทั้งสองไว้เด็ดขาด กรมสรรพากร เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ค่าภาษีอากรจำนวน ๒๓,๒๐๔,๖๙๒.๒๐ บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสอง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๐๔ แล้ว ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จำนวน ๒๓,๑๙๖,๖๘๖.๙๕ บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ ทั้งสอง โดยให้ได้รับชำระหนี้ตามมาตรา ๑๓๐ (๖) แห่ง พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ จำนวน ๕๑๒,๕๘๒.๙๔ บาท นอกจากนั้นให้ได้รับชำระหนี้ตามมาตรา ๑๓๐ (๘) แห่ง พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ ส่วนภาษีท้องถิ่นจำนวน ๘,๐๐๕.๒๕ บาทนั้น ไม่อาจพิจารณาให้ได้เนื่องจากลูกหนี้ทั้งสองมิใช่คณะบุคคลหรือนิติบุคคลที่ต้องชำระภาษีส่วนท้องถิ่น จึงให้ยกคำขอในส่วนนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีล้มละลายพิพากษายืน
เจ้าหนี้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ลูกหนี้ทั้งสองขายที่ดินอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ในราคา ๑๑,๑๕๗,๑๔๓ บาท จึงมีหน้าที่ต้องชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าตาม ป.รัษฎากร มาตรา ๕๖ และมาตรา ๗๘ แต่ลูกหนี้ทั้งสองมิได้ยื่นแบบแสดงรายการชำระภาษีดังกล่าว เจ้าหนี้จึงประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เบี้ยปรับพร้อมเงินเพิ่มจำนวน ๒๐,๑๖๐,๒๗๖ บาท ภาษีการค้า เบี้ยปรับ เงินเพิ่มและ ภาษีส่วนท้องถิ่นจำนวน ๑,๖๓๐,๑๔๒ บาท และได้แจ้งการประเมินให้ลูกหนี้ทั้งสองทราบแล้ว โดยส่งไปที่บ้านซึ่งเป็น ที่อยู่อาศัยของลูกหนี้ทั้งสอง แต่ลูกหนี้ทั้งสองมิได้ชำระภาษีแก่เจ้าหนี้และมิได้อุทธรณ์การประเมินจึงเป็นหนี้เด็ดขาด คดีมีปัญหาวินิจฉัยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาเจ้าหนี้ว่า เจ้าหนี้มิสิทธิได้รับชำระหนี้ภาษีส่วนท้องถิ่นจำนวน ๘,๐๐๕.๒๕ บาท หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ตาม พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๑๑๒ (๑) และเทศบัญญัติของเทศบาลนครกรุงเทพ เรื่อง การจัดเก็บภาษีอากร และค่าธรรมเนียมบางประเภท (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๗ ข้อ ๓ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า การค้า ซึ่งสถานการค้าอยู่ในเขตเทศบาล ให้ผู้ประกอบการค้ามีหน้าที่เสียภาษีเพิ่มเพื่อเทศบาลอีกในอัตราร้อยละ ๑๐ ของอัตราภาษีการค้าตาม ป.รัษฎากร ความมุ่งหมายของบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวเพื่อให้สถานการค้าในเขตเทศบาลนครกรุงเทพหรือกรุงเทพมหานครมีหน้าที่ต้องชำระภาษีเพิ่มเพื่อเทศบาล เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ลูกหนี้ทั้งสองขายที่ดินไป ๑ แปลง โดยไม่ปรากฏว่าลูกหนี้ ทั้งสองมีสถานการค้า จึงต้องถือว่าบ้านซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของลูกหนี้ทั้งสองเป็นสถานการค้าตาม ป.รัษฎากร มาตรา ๗๗ (เดิม) เมื่อสถานการค้าดังกล่าวอยู่ในเขตเทศบาลนครกรุงเทพหรือกรุงเทพมหานคร ลูกหนี้ทั้งสองจึงมีหน้าที่ต้องชำระภาษีส่วนท้องถิ่น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ภาษีส่วนท้องถิ่นจำนวน ๘,๐๐๕.๒๕ บาท นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของเจ้าหนี้ฟังขึ้น อนึ่ง ภาษีส่วนท้องถิ่นดั่งกล่าวเป็นภาษี ที่คำนวณมาจากเงินเพิ่มภาษีการค้าจำนวน ๘๐,๐๕๒.๕๐ บาท ในอัตราร้อยละ ๑๐ เมื่อเงินเพิ่มจำนวน ๓๕,๑๔๕ บาท ถึงกำหนดชำระภายใน ๖ เดือน ก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ภาษีส่วนท้องถิ่นจำนวน ๓,๕๑๔.๕๐ บาท จึงอยู่ในลำดับที่จะได้รับชำระหนี้ตามมาตรา ๑๓๐ (๖) แห่ง พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ ส่วนเงินเพิ่มที่เหลือจำนวน ๔๔,๙๐๗.๕๐ บาท ถึงกำหนดชำระเงินเกินกว่า ๖ เดือน ก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ภาษีส่วนท้องถิ่นจำนวน ๔,๔๙๐.๗๕ บาท จึงอยู่ในลำดับ ที่จะต้องได้รับชำระหนี้ตามมาตรา ๑๓๐ (๘) (เดิม) แห่ง พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ภาษีส่วนท้องถิ่นจำนวน ๘,๐๐๕.๒๕ บาท จากกองทรัพย์สินของ ลูกหนี้ทั้งสองด้วย โดยให้ได้รับชำระหนี้ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๓๐ (๖) จำนวน ๓,๕๑๔.๕๐ บาท และตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๓๐ (๘) (เดิม) จำนวน ๔,๔๙๐.๗๕ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ .

Share