แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้คำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์จะใช้แบบพิมพ์คำร้องเป็นคำฟ้องอุทธรณ์แต่ศาลอุทธรณ์ก็วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในประเด็นข้ออื่น จึงมีผลเท่ากับศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจวินิจฉัยแล้วว่าเป็นคำฟ้องอุทธรณ์ที่ไม่ขัดต่อกฎหมายถึงขนาดที่จะรับไว้พิจารณาไม่ได้
อุทธรณ์ของโจทก์มิได้โต้เถียงคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดไต่สวนและยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของโจทก์ คำสั่งศาลชั้นต้นจึงถึงที่สุดโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวซึ่งถึงที่สุดแล้วโดยมิได้วินิจฉัยประเด็นที่โจทก์อุทธรณ์ เป็นการพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา 215
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑, ๓๔๓, ๘๓ และขอให้คืนหรือใช้เงินแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ชั้นพิจารณาหลังจากสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ต่อไปในวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๓๑ โจทก์ไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลชั้นต้นสั่งไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาว่าโจทก์ยังมีหน้าที่จะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป เพราะยังสืบพยานไม่เสร็จ จึงให้ยกฟ้องโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๖๖
โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๓๑ ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนและมีคำสั่งให้พิจารณาคดีของโจทก์ต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๑ ว่า เหตุผลที่อ้างในคำร้องแม้จะฟังเป็นความจริง ก็ยังไม่เพียงพอที่จะถือว่าเป็นเหตุสมควรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๖๖ วรรคสอง จึงให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้องของโจทก์ ดังปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๓๑
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เป็นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น ลงวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๑ และวินิจฉัยว่า โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่โดยอ้างว่าโจทก์เข้าใจวันนัดสืบพยานโจทก์คลาดเคลื่อนผิดวันไป หากเป็นความจริงก็พอถือได้ว่ามีเหตุผลสมควรที่จะยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๑ ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของโจทก์ แล้วมีคำสั่งในเรื่องนี้ต่อไปตามรูปคดี
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในประเด็นข้ออื่น มีผลเท่ากับศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจวินิจฉัยแล้วว่าถึงแม้คำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์จะใช้แบบพิมพ์คำร้องเป็นคำฟ้องอุทธรณ์ก็ไม่ขัดต่อกฎหมายถึงขนาดที่จะรับไว้พิจารณาไม่ได้
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าโจทก์ร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่โดยอ้างเหตุผลว่าโจทก์เข้าใจวันนัดคลาดเคลื่อนเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องอุทธรณ์นั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์อุทธรณ์ว่า เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๓๑ ศาลได้กำหนดให้สืบพยานโจทก์ แต่โจทก์ไม่ได้มาศาล และในวันดังกล่าวศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้ยกฟ้องโจทก์ รายละเอียดปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๓๑ โจทก์เห็นว่าคำสั่งศาลชั้นต้นยังคลาดเคลื่อนอยู่ จึงขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นและยกคดีของโจทก์พิจารณาต่อไป อุทธรณ์ของโจทก์มิได้โต้เถียงคำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๑ ที่ให้งดไต่สวนและให้ยกคำร้องขอให้พิจารณาคดีของโจทก์ต่อไปว่าไม่ถูกต้องแต่ประการใด คำสั่งของศาลชั้นต้นลงวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๑ จึงถึงที่สุดแล้วโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นซึ่งถึงที่สุดแล้วโดยมิได้วินิจฉัยประเด็นที่โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นยกฟ้องของโจทก์เป็นการชอบหรือไม่นั้น เป็นการพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา ๒๑๕
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ แล้วมีคำพิพากษาใหม่ไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลในชั้นนี้ ให้ศาลอุทธรณ์รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่