แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
บ้านของจำเลยบางส่วนปลูกรุกล้ำเข้าไปในที่ดินชายทะเลอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกันเป็นเนื้อที่ประมาณ 60 ตารางเมตรอยู่แต่เดิมแล้วจำเลยมิได้เป็นผู้ปลูกสร้างเมื่อบิดามารดาจำเลยถึงแก่กรรมบ้านและที่ดินดังกล่าวจึงตกเป็นสิทธิแก่จำเลย โดยจำเลยอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้มาตั้งแต่เกิด ดังนั้นการที่จำเลยสร้างรั้วสังกะสีปิดกั้นทางเดินซึ่งเป็นทางสาะารณะที่ใช้เดินสู่ชายทะเล เป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าจำเลยเข้าใจว่าที่ดินที่ปลูกบ้านและที่จำเลยล้อมรั้วปิดกั้นทางเดินนั้นเป็นของตนโดยสุจริต จำเลยไม่ได้เข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินชายทะเลโดยมีเจตนาทีจะฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยจึงไม่มีความผิด.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันเข้าไปยึดถือและครอบครองที่ดินชายทะเลอันเป็นที่ดินของรัฐและเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกันเป็นเนื้อที่ประมาณ 60 ตารางเมตร โดยจำเลยทั้งสามได้ปลูกบ้าน และกั้นรั้วสังกะสีรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของรัฐดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2515ข้อ 11 ให้จำเลยทั้งสาม คนงานตลอดจนบริวารของจำเลยทั้งสามออกจากที่ดินดังกล่าว และให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและรั้วออกไปจากที่ดินดังกล่าว
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9, 108 ทวิ วรรคสอง ให้จำคุกคนละ 2 เดือนและปรับคนละ3,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินที่บุกรุกด้วย
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบแล้ว มีปัญหาว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ข้อเท็จจริงได้ความตามข้อนำสืบของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1394 และเป็นเจ้าของบ้านที่จำเลยอยู่อาศัยซึ่งปลูกสร้างในที่ดินนี้ จากการรังวัดตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ที่ดิน ปรากฏว่าบ้านของจำเลยบางส่วนปลูกสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินชายทะเล เป็นเนื้อที่ประมาณ 60 ตารางเมตร โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยทั้งสามได้เข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินและเป็นผู้ทำการปลูกสร้างบ้านดังกล่าวหรือไม่ และตั้งแต่เมื่อใด จำเลยทั้งสามนำสืบต่อสู้ว่า เดิมที่ดินและบ้านนี้เป็นของนางหันซึ่งเป็นย่านางหันเป็นผู้ปลูกสร้างบ้านหลังนี้ตั้งแต่ปี 2465 ต่อมานางหันยกที่ดินและบ้านให้บิดาจำเลย จำเลยทั้งสามเกิดที่บ้านหลังนี้เมื่อบิดามารดาจำเลยถึงแก่กรรม ที่ดินและบ้านจึงตกเป็นของจำเลยทั้งสาม ซึ่งพยานโจทก์คือนายสุริยะ สุระประเสริฐ ปลัดสุขาภิบาลแสนสุข และนายพจน์ แย้มเอม เจ้าหน้าที่ผู้รังวัดตรวจสอบที่ดินเบิกความรับว่า บ้านของจำเลยมีสภาพเก่า แสดงว่าปลูกมานานแล้วข้อนำสืบของจำเลยจึงมีเหตุผลรับฟังได้ การที่จำเลยทั้งสามมิได้เป็นผู้ปลูกสร้างบ้านรุกล้ำเข้าไปในที่ดินชายทะเล เมื่อบิดามารดาของจำเลยถึงแก่กรรมแล้วที่ดินและบ้านจึงตกเป็นสิทธิแก่จำเลยจำเลยทั้งสามอยู่อาศัยที่บ้านหลังนี้มาตั้งแต่เกิด เป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าจำเลยทั้งสามเข้าใจว่าที่ดินที่ปลูกบ้านและที่จำเลยล้อมรั้วปิดกั้นทางเดินนั้นเป็นของตนโดยสุจริต จำเลยทั้งสามไม่ได้เข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินชายทะเลโดยมีเจตนาที่จะฝ่าฝืนต่อกฎหมาย คดีฟังลงโทษจำเลยทั้งสามไม่ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน