แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่1 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้กล่าวอภิปรายในการประชุม ร่วมกัน ของรัฐสภาในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย มีข้อความพาดพิงมาถึงโจทก์ว่าหลีกเลี่ยงภาษี อันเป็นข้อความฝ่าฝืน ต่อความจริง ซึ่ง จำเลยที่1 ไม่รู้แน่จริงขึ้นมายืนยัน ฉะนั้น ข้อความที่จำเลยที่1 กล่าวหาโจทก์ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อ ชื่อเสียง เกียรติคุณ และทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของโจทก์ แต่คำกล่าวอภิปราย ของจำเลยที่ 1 เป็นการกล่าวถ้อยคำไปใน ทางแถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการ พิจารณางบประมาณรายจ่าย ของรัฐโดยตรง จำเลยที่ 1 ย่อมได้ รับเอกสิทธิ์ ผู้ใดจะนำไปเป็นเหตุฟ้องร้อง ว่ากล่าวในทาง ใดมิได้ เอกสิทธิ์นี้เป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาดที่ได้รับความคุ้มครอง โดยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 มาตรา 114 วรรคแรก
จำเลยที่ 2 ทำการถ่ายทอดเสียงการอภิปรายในที่ประชุมรัฐสภาดังกล่าว เป็นการถ่ายทอดเสียงทันทีทันใดจากการประชุม จึงมิใช่เป็นการโฆษณา รายงานการประชุม ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 มาตรา 114 วรรคสอง ย่อมไม่ได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองตามบทกฎหมายดังกล่าว แต่การที่จำเลยที่ 2 ได้ทำการถ่ายทอดเสียงการอภิปรายดังกล่าว ได้กระทำตามคำสั่งของประธานรัฐสภาและตามมติเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีตามลำดับขั้นตอนทุกประการ การกระทำของจำเลยที่ 2 ย่อมถือได้ว่ากระทำตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายแม้ข้อความที่จำเลยที่ 1 กล่าวอภิปรายจะเป็นที่เสียหาย แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ก็ได้รับนิรโทษกรรม ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 449 วรรคแรก หาต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ไม่
(วรรคสองวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4/2528)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๓ จำเลยที่ ๑ โดยความร่วมมือของจำเลยที่ ๒ ได้กล่าวและไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความทางวิทยุกระจายเสียแห่งประเทศไทยซึ่งอยู่ในความควบคุมดูแลของจำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๑ กล่าวว่าโจทก์หลีกเลี่ยงภาษีของรัฐอันเป็นข้อความที่ฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของโจทก์ และเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของโจทก์ การที่จำเลยที่ ๑และที่ ๒ ได้ร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ดังกล่าวโจทก์ขอคิดค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันร่วมกันทำละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๔,๑๔๐,๘๓๓.๒๗ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยของต้นเงิน ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การที่จำเลยที่ ๑ กล่าวเป็นการแสดงความคิดเห็นและแถลงข้อเท็จจริงในรัฐสภา ได้กล่าวไปตามหลักฐานของทางราชการและหลักฐานอื่น ๆ ตลอดจนข่าวสารที่ได้รับมา มิได้ฝ่าฝืนต่อความจริง จำเลยได้รับสิทธิคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ มิได้ละเมิดต่อโจทก์
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า มิได้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดต่อโจทก์ การถ่ายทอดเสียงซึ่งอภิปรายในการประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๓ จำเลยได้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี ที่จำเลยที่ ๑ กล่าวอภิปรายก็เป็นการกล่าวในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ เอกสิทธิ์ดังกล่าวคุ้มครองถึงจำเลยที่ ๒ ด้วย การกระจายข่าวของจำเลยที่ ๒ กระทำไปตามอำนาจหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ทำละเมิด
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามที่คู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงรับกันตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๒๔ และวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๒๔ ว่า จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงรายได้กล่าวอภิปรายในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๕ ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาครั้งที่ ๑๑/๒๕๒๓ (สมัยสามัญ) เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๓ ตามสำเนารายงานการประชุมเอกสารหมาย ล.๑/๑ ซึ่งมีข้อความพาดพิงมาถึงโจทก์ว่า โรงงานสังกะสีไทยหลีกเลี่ยงภาษีจำนวน ๓,๐๐๐ กว่าล้านบาท และ ๓๐๐ กว่าล้านบาท คำว่า โรงงานสังกะสีไทยนั้นหมายถึงโจทก์คดีนี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ถึง พ.ศ. ๒๕๑๔ และ พ.ศ. ๒๕๑๗ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๐ โจทก์ได้เสียภาษีการค้าเกินไป จนกรมสรรพากรคืนภาษีการค้าให้แก่โจทก์ ตามเอกสารหมาย จ.๑ จ.๒ ส่วนจำเลยที่ ๒ นั้นได้ถ่ายทอดคำกล่าวอธิปรายของจำเลยที่ ๑ ทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยตามมติของคณะรัฐมนตรีตามเอกสารหมาย ล.๔ ถึง ล.๑๖
ศาลฎีกาได้พิจารณาจากข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว เห็นว่า ถ้อยคำของจำเลยที่ ๑ที่อภิปรายกล่าวหาว่าโจทก์หลีกเลี่ยงภาษีอากรเป็นจำนวน ๓,๐๐๐ กว่าล้านบาท และ๓๐๐ กว่าล้านบาทนั้น เป็นข้อความฝ่าฝืนต่อความจริง เพราะแม้แต่จำเลยที่ ๑ เองก็แถลงรับต่อศาลว่าโจทก์จะเสียภาษีถูกต้องหรือไม่จำเลยที่ ๑ ไม่ทราบดังนี้เท่ากับจำเลยที่ ๑ เอาข้อความที่จำเลยที่ ๑ ไม่รู้แน่จริงขึ้นมายืนยันและกล่าวอ้างว่าโจทก์ได้หลีกเลี่ยงภาษีอากรเป็นจำนวนมาก ฉะนั้น ข้อความที่จำเลยที่ ๑ กล่าวหาโจทก์นั้นย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียง เกียรติคุณ และทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของโจทก์ เพราะโจทก์ไม่ได้หลีกเลี่ยงการเสียภาษีให้รัฐแต่ประการใด ข้อเท็จจริงยังกลับปรากฏว่ากรมสรรพากรได้คืนเงินภาษีการค้าที่เก็บเกินไปให้แก่โจทก์ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๑ จ.๒
ปัญหาต่อไปในชั้นนี้มีว่า การที่จำเลยที่ ๑ กล่าวอธิปรายในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาว่าโจทก์หลีกเลี่ยงภาษีจำนวน ๓,๐๐๐ กว่าล้านบาท และ ๓๐๐ กว่าล้านบาทและจำเลยที่ ๒ ได้ทำการถ่ายทอดเสียงทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเผยแพร่ข้อความที่จำเลยที่ ๑ อภิปรายดังกล่าวนั้น จำเลยทั้งสองได้รับเอกสิทธิ์ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๒๑ มาตรา ๑๑๔ หรือไม่ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การกล่าวอภิปรายของจำเลยที่ ๑ ที่เกิดเหตุนี้ จำเลยที่ ๑ ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงรายได้กล่าวอภิปรายในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๔ ซึ่งมีข้อที่จำเลยที่ ๑ วิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องการตรวจสอบภาษีอากรเพื่อให้ได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ให้เกิดการรั่วไหล ทั้งนี้เพื่อจะนำเงินงบประมาณที่ได้จากภาษีอากรไปใช้เป็นงบประมาณรายจ่ายของประเทศต่อไป แต่เนื่องจากได้มีคำสั่งของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๘ ซึ่งห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีหน้าที่ตรวจสอบภาษีอากรเข้าไปตรวจสอบภาษีของร้านค้า จึงเป็นผลให้มีการเลี่ยงภาษีอากรกันเป็นจำนวนมาก ทำให้รัฐบาลขาดรายได้มิใช่น้อย แล้วจำเลยที่ ๑ ได้กล่าวพาดพิงไปถึงโจทก์ด้วย เพื่อแสดงให้เห็นว่าคำสั่งของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๘ นี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รัฐเก็บภาษีจากโรงงานอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพไม่ได้ จำเลยที่ ๑ จึงขอให้รัฐบาลแก้คำสั่งของคณะปฏิวัติฉบับนี้เสียเช่นนี้คำกล่าวอภิปรายของจำเลยที่ ๑ ตามเอกสารหมาย ล.๑/๑ ย่อมเห็นได้ประจักษ์ชัดแจ้งว่าเป็นการกล่าวถ้อยคำไปในทางแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการพิจารณางบประมาณรายจ่ายของรัฐโดยตรง มิใช่เป็นการกล่าวเรื่อยเปื่อยไปดังที่โจทก์ฎีกา แม้ข้อความที่จำเลยที่ ๑ กล่าวอธิปรายนั้นจะกระทบกระเทือนและเป็นผลร้ายแก่โจทก์เพียงใดก็ตาม จำเลยที่ ๑ ย่อมได้รับเอกสิทธิ์ ผู้ใดจะนำไปเป็นเหตุฟ้องร้องว่ากล่าวในทางใดมิได้ เอกสิทธิ์นี้เป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาดที่ได้รับความคุ้มครองโดยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๒๑ มาตรา ๑๑๔ วรรคแรก ซึ่งบัญญัติว่า “ในที่ประชุมวุฒิสภาก็ดี ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรก็ดี ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาก็ดี สมาชิกผู้ใดจะกล่าวถ้อยคำใด ๆ ในทางแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นหรือออกเสียงลงคะแนน ย่อมเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาด ผู้ใดจะนำไปเป็นเหตุฟ้องร้องว่ากล่าวสมาชิกผู้นั้นในทางใดมิได้” ทั้งนี้เพื่อให้สมาชิกแห่งรัฐสภาในระบบประชาธิปไตยได้แถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความผิดเห็นในที่ประชุมได้อย่างอิสระเสรีโดยไม่ต้องคอยพะวงหวั่นเกรงว่าจะไปกระทบกระเทือนหรือเป็นผลร้ายแก่ผู้ใด เหตุนี้โจทก์จะนำคดีมาฟ้องร้องว่าจำเลยที่ ๑ ทำละเมิดแก่โจทก์หาได้ไม่
ปัญหาต่อไปมีว่า การที่กรมประชาสัมพันธ์จำเลยที่ ๒ ทำการถ่ายทอดเสียงการอภิปรายในที่ประชุมรัฐสภา จะถือว่าเป้นผู้โฆษณารายงานการประชุมตามข้อบังคับของวุฒิสภาหรือสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๒๑ มาตรา ๑๑๔ วรรคสอง หรือไม่ ศาลฎีกาได้วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวโดยมติที่ประชุมใหญ่แล้ว เห็นว่า รายงานการประชุมนั้นต้องเป็นการบันทึกการประชุมเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งทำหลังจากที่ได้มีการประชุมแล้ว การโฆษณารายงานการประชุมก็ต้องหมายถึงการโฆษณาบันทึกการประชุมเช่นว่านั้น และตามวรรคสองของมาตรา ๑๑๔ ดังกล่าวใช้คำว่า “ผู้พิมพ์และผู้โฆษณารายงานการประชุม” เช่นนี้หมายความว่ามีการพิมพ์รายงานการประชุมแล้ว และมีการโฆษณารายงานการประชุมที่พิมพ์นั้นเหตุนี้การถ่ายทอดเสียงทันทีทันใดจากการประชุมย่อมไม่ได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองตามกฎหมายดังกล่าว แต่ถึงอย่างไรก็ดีศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ ได้ทำการถ่ายทอดเสียงทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๔ ของรัฐสภาในวันดังกล่าว จำเลยที่ ๒ มิได้กระทำโดยพลการตนเองแต่ประการใด แต่ได้กระทำตามคำสั่งของประธานรัฐสภาและตามมติเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีตามลำดับขั้นตอนทุกประการ การกระทำของจำเลยที่ ๒ ย่อมถือได้ว่ากระทำตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมาย แม้ข้อความที่จำเลยที่ ๑ กล่าวอภิปรายจะเป็นที่เสียหายแก่โจทก์ก็ตาม จำเลยที่ ๒ ก็หาต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ไม่ เนื่องจากจำเลยที่ ๒ ได้รับนิรโทษกรรมตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๙ วรรคแรก ซึ่งบัญญัติว่า “บุคคลใดเมื่อกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายก็ดี กระทำตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายก็ดีหากก่อให้เกิดเสียหายแก่ผู้อื่นไซร์ท่านว่าบุคคลนั้นหาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ