แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาทให้จำเลยลงแรงทำไร่อ้อยแบ่งผลกำไรกัน จำเลยจึงยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์ ต่อมาคดีอาญาที่จำเลยฟ้องภริยาโจทก์ ในข้อหาบุกรุกที่พิพาทนั้น ศาลยกฟ้องโดยฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ การครอบครองที่พิพาทของจำเลยในระหว่างดำเนินคดีอาญาต้องถือว่า เป็นการครอบครองแทนฝ่ายโจทก์ผู้ชนะคดี จำเลยจะอ้างเป็นการครอบครอง โดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนและอ้างกำหนดเวลาฟ้องเรียกคืนการครอบครอง ขึ้นยันโจทก์ไม่ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาทให้จำเลยทำไร่อ้อยแบ่งผลกำไรกัน ต่อมาจำเลยกลับฟ้องภริยาโจทก์ว่าบุกรุกที่พิพาทจึงขอให้พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ให้ขับไล่จำเลยและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ขายที่พิพาทให้จำเลย โจทก์นำคดีมาฟ้องหลังจากที่จำเลยโต้แย้งสิทธิในที่พิพาทด้วยการฟ้องภริยาโจทก์เป็นคดีอาญานานกว่า 1 ปี คดีขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษาให้ขับไล่จำเลย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า โจทก์นำคดีมาฟ้องภายหลังจากถูกจำเลยแย่งการครอบครองเกินกว่า 1 ปี ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกคืนพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ให้จำเลยลงแรงทำไร่อ้อยแบ่งผลกำไรโดยโจทก์เป็นฝ่ายลงทุนค่าใช้จ่าย จำเลยจึงยึดถือหรือครอบครองที่พิพาทในฐานะผู้แทนของโจทก์ และคดีอาญาที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องนางสุวรรณาภริยาโจทก์ในคดีนี้ ข้อหาบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์และเรียกค่าเสียหายนั้นปรากฏว่าศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ การครอบครองที่พิพาทของจำเลยในระหว่างดำเนินคดีอาญาดังกล่าวต้องถือว่าเป็นการครอบครองแทนโจทก์สามีของนางสุวรรณผู้ชนะคดี จำเลยจะถือว่าการครอบครองที่พิพาทของตนระหว่างนั้น เป็นการครอบครองโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 หาได้ไม่ และจะอ้างกำหนดเวลาฟ้องเรียกคืนการครอบครองตามมาตรา 1375 ขึ้นยันโจทก์ไม่ได้เช่นกัน โจทก์จึงไม่ขาดสิทธิฟ้องเอาคืนที่พิพาทจากจำเลยที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.