คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 708/2529

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

ข้อกฎหมายซึ่งจำเลยมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลางต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225ประกอบด้วยมาตรา31แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522 การที่โจทก์ทั้งสองมีเรื่องทะเลาะวิวาทและพูดจาโต้ตอบกับพ.ครูอีกคนหนึ่งในโรงเรียนเดียวกันว่าวันนี้จะเปิดฉากด่าไอ้หมาตัวผู้’ก็ดี’งั้นตีกันเลยไหมจะเป็นกรรมการให้’ก็ดีแม้จะเป็นการใช้วาจาไม่สุภาพอยู่บ้างก็เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างโจทก์ทั้งสองกับพ.ไม่เกี่ยวกับจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างกรณีเช่นนี้แม้จะฟังว่าเป็นการผิดจรรยามารยาทของการเป็นครูตามระเบียบคุรุสภาว่าด้วยจรรยามารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีของครูพ.ศ.2526อันถือว่าเป็นข้อบังคับของโรงเรียนจำเลยซึ่งจำเลยมีสิทธิจะเลิกจ้างได้ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่งของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรงตามข้อ47(3)แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานและไม่ใช่กรณีเป็นการจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายตามข้อ47(2)แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองจำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสอง เงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว(ค่าครองชีพ)ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการเป็นเงินที่ผู้รับใบอนุญาตขอเบิกจากทางราชการนำมาจ่ายให้แก่ครูเพื่อเป็นการช่วยเหลือครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชนถือไม่ได้ว่าเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ทั้งสองจึงนำมารวมกับเงินเดือน(ค่าจ้าง)เดือนสุดท้ายเพื่อคำนวณค่าชดเชยไม่ได้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา582เป็นบทบัญญัติถึงวิธีบอกเลิกสัญญาสำหรับคู่สัญญาที่ไม่ได้กำหนดไว้ว่าจะจ้างกันนานเท่าใดฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะบอกเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่งเพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทำได้ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นรายเดือนทุกวันสิ้นเดือนและจำเลยบอกเลิกการจ้างโจทก์ทั้งสองในวันที่1พฤษภาคม2528โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าการบอกกล่าวล่วงหน้าในคราวถัดไปจึงมีผลเมื่อถึงสิ้นเดือนมิถุนายน2528โจทก์ทั้งสองมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าสองเดือนตามฟ้อง.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลมีคำสั่งให้พิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยโจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่าจำเลยจ้างโจทก์ที่1และโจทก์ที่2เข้าทำงานเป็นลูกจ้างประจำเมื่อวันที่3กันยายน2524และวันที่21สิงหาคม2523ตามลำดับโดยประจำอยู่ที่โรงเรียนพณิชยการสามเสนโจทก์ที่1ได้ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ2,625บาทโจทก์ที่2ได้ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ2,905บาทกับได้รับค่าครองชีพอีกคนละ200บาทต่อเดือนกำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือนต่อมาวันที่1พฤษภาคม2528จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยโจทก์ทั้งสองมิได้กระทำความผิดและไม่บอกกล่าวล่วงหน้าขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ที่1และโจทก์ที่2เป็นเงิน16,950บาทและ18,630บาทสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน5,650บาทและ6,210บาทตามลำดับ
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การว่าโจทก์ทั้งสองประพฤติตนเป็นที่เสื่อมเสียเกียรติยศและชื่อเสียงของตนเองเป็นเหตุให้จำเลยและโรงเรียนของจำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงเป็นการฝ่าฝืนระเบียบคุรุสภาว่าด้วยจรรยามารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีของครูพ.ศ.2526จำเลยได้เรียกโจทก์ทั้งสองและครูที่เกี่ยวข้องมาว่ากล่าวตักเตือนแต่โจทก์ทั้งสองหาได้เชื่อฟังคำสั่งของจำเลยไม่เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างทั้งเป็นการจงใจทำให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยอย่างร้ายแรงตามข้อ46แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานลงวันที่16เมษายน2515โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าการกระทำของโจทก์ทั้งสองยังไม่พอฟังว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่งของจำเลยกรณีร้ายแรงตามข้อ47(3)และมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสองจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายตามข้อ47(2)แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานโจทก์ทั้งสองมีสิทธิได้รับค่าชดเชยเงินค่าครองชีพเดือนละ200บาทต้องนำมารวมกับค่าจ้างเพื่อคำนวณค่าชดเชยด้วยพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ที่116,950บาทโจทก์ที่218,630บาทและจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ที่1จำนวน5,650บาทโจทก์ที่2จำนวน6,210บาท
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า’จำเลยอุทธรณ์เป็นข้อแรกว่าคดีนี้เป็นข้อพิพาทว่าด้วยแรงงานระหว่างโจทก์ทั้งสองซึ่งมีอาชีพเป็นครูในโรงเรียนเอกชนกับจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของโรงเรียนและเป็นผู้รับใบอนุญาตจึงต้องอยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชนพ.ศ.2525ตลอดจนระเบียบข้อบังคับและคำสั่งของกระทรวงศึกษาธิการที่ออกตามพระราชบัญญัติดังกล่าวและระเบียบคุรุสภาตามพระราชบัญญัติครูพุทธศักราช2488ไม่ว่าจะเป็นสัญญาจ้างและการปฏิบัติตนระหว่างโจทก์ทั้งสองที่เป็นลูกจ้างกับจำเลยในฐานะนายจ้างซึ่งต้องใช้บทบัญญัติหรือกฎหมายเฉพาะที่ออกมาใช้บังคับเป็นพิเศษกับผู้มีอาชีพเป็นครูโรงเรียนเอกชนจะนำประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานซึ่งเป็นบทบัญญัติโดยทั่วไปมาใช้บังคับแก่คดีนี้ไม่ได้นั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่าข้ออุทธรณ์ดังกล่าวจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การจึงถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลางต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225ประกอบด้วยมาตรา31แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
จำเลยอุทธรณ์ข้อที่สองว่าการที่โจทก์ทั้งสองจงใจฝ่าฝืนระเบียบคุรุสภาว่าด้วยจรรยามารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีของครูพ.ศ.2526โดยการแสดงกิริยามารยาทที่ไม่ดีงามโดยใช้คำพูดไม่สุภาพเช่น’หน้าตัวเมีย’วันนี้จะเปิดฉากด่าอ้ายหมาตัวผู้”งั้นตีกันเลยไหมจะเป็นกรรมการให้’อีกทั้งยังพูดในลักษณะเป็นการทะเลาะส่งเสียงดังในบริเวณโรงเรียนซึ่งมีบุคคลภายนอกและนักเรียนรู้เห็นจากการกระทำดังกล่าวของโจทก์ทั้งสองทำให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของโรงเรียนได้รับความเสียหายไปถึงกิจการงานของจำเลยโดยตรงโจทก์ทั้งสองอยู่ในฐานะสังคมยกย่องว่าเป็นแม่พิมพ์ของชาติกระทำเช่นนี้จึงถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบหรือคำสั่งของจำเลยกรณีร้ายแรงและเป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายแล้วพิเคราะห์แล้วเห็นว่าเหตุที่โจทก์ทั้งสองจะกล่าวถ้อยคำดังกล่าวข้างต้นก็เนื่องมาจากนายพีระศักดิ์ซึ่งเป็นครูคนหนึ่งในโรงเรียนได้พูดจาในทางที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่1โดยพูดทำนองว่าโจทก์ที่1ได้เสียกับตนการพูดเช่นนี้ทำให้โจทก์ที่1ซึ่งเป็นหญิงสาวได้รับความเสียหายมากโจทก์ที่1จึงไปต่อว่านายพีระศักดิ์ในวันที่4กุมภาพันธ์2528ที่ห้องพักและใช้คำพูดว่านายพีระศักดิ์หน้าตัวเมียซึ่งแม้จะมีผู้อื่นได้ยินบ้างแต่ก็เป็นการพูดกันในห้องพักส่วนตัวส่วนที่โจทก์ทั้งสองพูดว่า’วันนี้จะเปิดฉากด่าอ้ายหมาตัวผู้และคำว่า’งั้นตีกันเลยไหมจะเป็นกรรมการให้’ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่4เมษายน2528ก็มีสาเหตุมาจากนายพีระศักดิ์อีกเนื่องจากในวันดังกล่าวขณะที่โจทก์ทั้งสองและนักเรียนหญิงคนหนึ่งกำลังเดินออกจากโรงเรียนจะกลับบ้านได้พบนายพีระศักดิ์ที่หน้าประตูโรงเรียนนายพีระศักดิ์ได้พูดกับโจทก์ที่1ว่า’ระวังตัวให้ดีจะดักตีหัวปากซอย’ส่อแสดงให้เห็นว่านายพีระศักดิ์ยังมีเรื่องกินใจกับโจทก์ที่1อยู่พูดแล้วนายพีระศักดิ์ได้เดินเข้าไปในโรงอาหารของโรงเรียนโจทก์ทั้งสองจึงเดินตามไปเพื่อสอบถามแล้วเกิดต่อว่าโต้เถียงกันขึ้นการที่โจทก์ที่1พูดกับนายพีระศักดิ์ว่า’วันนี้จะเปิดฉากด่าอ้ายหมาตัวผู้’และพูดว่า’อดทนมานาน3เดือนทนไม่ได้แล้วนะระวังตัวให้ดีนะ’กับโจทก์ที่2พูดว่า’งั้นตีกันเลยไหมจะเป็นกรรมการให้’นายพีระศักดิ์พูดกับโจทก์ที่2ว่า’อาจารย์อีกคนหนึ่งด้วยไม่ต้องยุ่ง’และพูดอีกว่า’อย่างอาจารย์ไม่มีเหลี่ยมแล้วอย่ามายุ่งดีกว่าระวังตัวให้ดีจะดักตีหน้าซอยทั้งสองคน’แล้วโจทก์ที่2พูดว่า’งั้นตีตรงนี้เลยซิจะตีหน้าซอยทำไม’ศาลฎีกาเห็นว่าการพูดจาโต้ตอบกันระหว่างโจทก์ทั้งสองกับนายพีระศักดิ์นั้นแม้จะใช้วาจาไม่สุภาพอยู่บ้างก็เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างโจทก์ทั้งสองกับนายพีระศักดิ์ไม่เกี่ยวกับจำเลยและขณะนั้นโรงเรียนก็ปิดเทอมแล้วไม่มีการเรียนการสอนผู้ที่มาติดต่อกับโรงเรียนหากจะมีอยู่บ้างก็คงไม่กี่คนการกระทำของโจทก์ทั้งสองแม้จะฟังว่าเป็นการผิดจรรยามารยาทของการเป็นครูตามระเบียบคุรุสภาว่าด้วยจรรยามารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีของครูพ.ศ.2526อันถือว่าเป็นข้อบังคับของโรงเรียนจำเลยซึ่งจำเลยผู้เป็นนายจ้างมีสิทธิจะเลิกจ้างได้แต่ความผิดที่โจทก์ทั้งสองกระทำไปนั้นยังถือไม่ได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่งของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรงตามข้อ47(3)แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานและการกล่าวถ้อยคำเช่นนั้นของโจทก์ทั้งสองก็ไม่ได้จงใจที่ให้จำเลยหรือโรงเรียนของจำเลยได้รับความเสียหายตามข้อ47(2)แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวแต่ประการใดฉะนั้นเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยที่โจทก์ทั้งสองไม่ได้กระทำความผิดตามข้อ47แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานแล้วจำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยอุทธรณ์ข้อที่สามว่าค่าครองชีพเดือนละ200บาทที่โจทก์ทั้งสองรับไปนั้นเป็นเงินที่จ่ายไปตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการช่วยเหลือครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชนเป็นเงินสมทบเงินเดือนและเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวพ.ศ.2526จึงนำมารวมกับเงินเดือนเพื่อเป็นฐานคำนวณค่าชดเชยไม่ได้นั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่าเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว(ค่าครองชีพ)ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการดังกล่าวข้างต้น(เอกสารหมายล.1)เป็นเงินที่ผู้รับใบอนุญาตขอเบิกจากทางราชการนำมาจ่ายให้แก่ครูเพื่อเป็นการช่วยเหลือครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชนถือไม่ได้ว่าเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ทั้งสองจึงนำมารวมกับเงินเดือน(ค่าจ้าง)เดือนสุดท้ายเพื่อคำนวณค่าชดเชยไม่ได้ที่ศาลแรงงานกลางนำค่าครองชีพจำนวน200บาทมารวมกับเงินเดือนเพื่อคำนวณค่าชดเชยนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
จำเลยอุทธรณ์ข้อสุดท้ายว่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้นหากจำเลยจะต้องจ่ายแล้วจำเลยควรจ่ายให้แก่โจทก์ทั้งสองเท่ากับค่าจ้างเพียงเดือนเดียวมิใช่เท่ากับค่าจ้างสองเดือนตามฟ้องนั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา582เป็นบทบัญญัติถึงวิธีบอกเลิกสัญญาสำหรับคู่สัญญาที่ไม่ได้กำหนดไว้ว่าจะจ้างกันนานเท่าใดฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะบอกเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่งเพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทำได้ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นรายเดือนทุกวันสิ้นเดือนและจำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองในวันที่1พฤษภาคม2528โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าการบอกกล่าวล่วงหน้าในคราวถัดไปจึงมีผลเมื่อถึงสิ้นเดือนมิถุนายน2528ดังนั้นโจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าสองเดือนตามฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ที่1จำนวน15,350บาทโจทก์ที่2จำนวน17,430บาทนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง’

Share