แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้จัดการมรดกหรือทายาทของผู้ตายย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับตามสัญญาซื้อขายที่ผู้ตายเป็นคู่สัญญาได้ เพราะสัญญาซื้อขายไม่ใช่เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตาย
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่าโจทก์เป็นบุตรและผู้จัดการของนางโบ่ยผู้ตายตามคำสั่งศาล เมื่อวันที่ ๙ มี.ค.๒๔๙๘ นางโบ่ยได้ตกลงซื้อที่สวนยางของจำเลย ๑ แปลง ๓๖ ไร่ราคา ๓๖,๐๐๐ บาทจำเลยได้รับเงินประจำไป ๔,๐๐๐ บาท โดยสัญญาว่าจะจัดการโอนให้เสร็จภายใน ๖๐ วันนับแต่วันทำสัญญา ถ้าไม่จัดการ ให้ปรับที่สุดจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาและไม่ยอมขาย จึงขอให้บังคับจำเลยทำนิติกรรมขายที่ดินของจำเลยให้โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกและให้รับเงินราคาที่ดิน ถ้าไม่สามารถโอนให้โจทก์ได้ ให้จำเลยใช้ค่าปรับแก่โจทก์ ๒๐,๐๐๐ บาท
จำเลยให้การและแก้คำให้การว่า จำเลยนัดนางโบ่ยไปอำเภอ ๒ ครั้ง แต่นางโบ่ยไม่ไปและไม่ยอมซื้อที่ดินพิพาท กับให้จำเลยริบเงินมัดจำ และต่อสู้อำนาจฟ้องว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยโดยจำเลยไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่างยกฎีกาจำเลยโดยวินิจฉัยข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนางโบ่ยผู้วายชนม์ สิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ ของผู้วายชนม์ย่อมตกอยู่แก่โจทก์ผู้เป็นทายาทตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๖๐๐ เมื่อสัญญาซื้อขายไม่ใช่เป็นการเฉพาะตัวของผู้วายชนม์ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องได้ และวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา ให้จำเลยไปทำนิติกรรมโอนขายที่ดินพิพาทให้โจทก์และรับชำระเงินค่าขายที่ดิน ๓๒,๐๐๐ บาท ถ้าไม่ไปโอนให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย