แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อศาลขั้นต้นสั่งหน้าที่นำสืบตกแก่จำเลย ๆ ได้โต้แย้งคำสั่งนั้นไว้ จำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา226 (2)
โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ แม้จำเลยต่อสู้ว่าเดิมที่พิพาทเป็นของโจทก์จริงแต่ได้ขายให้แก่จำเลยแล้วก็ตาม เมื่อปรากฎว่าที่พิพาทเป็นที่ไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ และจำเลยเป็นผู้ครอบครองอยู่ดังนี้ หน้าที่นำสืบจึงตกแก่โจทก์.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าได้ซื้อที่ดินพิพาทซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลท่างาม จังหวัดสิงห์บุรี เมื่อ ๗-๘ ปีมานี้จำเลยเช่าอยู่ ครั้นต่อมาปี ๒๔๙๘ หลานโจทก์ได้มาขออาศัยอยู่ในที่พิพาท จำเลยขัดขวาง จึงฟ้องขอให้ขับไล่จำเลย
จำเลยต่อสู้ว่าเดิมที่พิพาทเป็นของโจทก์จริง ต่อมาโจทก์ได้ขายที่พิพาทให้จำเลย ๆ ได้ครอบครองถือสิทธิเป็นเจ้าของตลอดมา
ศาลชั้นต้นไม่เชื่อว่าโจทก์ขายที่พิพาทให้แก่จำเลย พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ห้ามไม่ให้เกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อนมิชอบ และว่าพยานจำเลยฟังได้ว่าโจทก์ได้ขายที่พิพาทให้แก่จำเลย
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าที่พิพาทไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินและจำเลยเป็นผู้ครอบครองอยู่ ในเบื้องต้นต้องสันนิษฐานว่า จำเลยผู้ครอบครองที่พิพาทมีสิทธิดีกว่าโจทก์ ฉะนั้นหน้าที่นำสืบจึงตกอยู่แก่โจทก์ ส่วนข้อเท็จจริงไม่เชื่อว่าจำเลยเช่าที่พิพาทจากโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นสั่งหน้าที่นำสืบตกแก่จำเลย ๆ ยอมรับนำสืบแล้ว จะมาคัดค้านภายหลังไม่ชอบ และว่าจำเลยเช่าที่พิพาทจากโจทก์
ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อนตามรายงานพิจารณาลงวันที่ ๘ เมษายน ๒๔๙๘ ต่อมาวันที่ ๑๓ เดือนนั้น จำเลยได้ยื่นคำแถลงโต้แย้งคำสั่งนั้นตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๒๒๖ (๒) จำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ได้ และศาลอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยมาชอบแล้ว ส่วนข้อเท็จจริงนั้นโจทก์นำสืบไม่สมฟ้อง พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์