แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองและ ส. ซึ่งรู้จักกัน จำเลยที่ 1 กับ ส. แล่นเรือไปนำเมทแอมเฟตามีนจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเข้ามาในราชอาณาจักร จำเลยที่ 2 ขับรถมารับจำเลยที่ 1 และ ส. พฤติการณ์ดังกล่าวเชื่อว่าจำเลยทั้งสองและ ส. ร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย และร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 65, 66, 91, 100/1, 102 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 62 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 83, 91, 371 ริบเมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสาม (2), 57, 65 วรรคสอง, 66 วรรคสอง, 91 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 62 วรรคสอง การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย และฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต ฐานเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรโดยไม่เดินทางออกไปตามช่องทาง ด่านตรวจคนเข้าเมือง เขตท่าสถานี หรือท้องที่และตามกำหนดเวลา ปรับ 2,000 บาท ฐานเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่เดินทางเข้ามาตามช่องทาง ด่านตรวจคนเข้าเมือง เขตท่าสถานี หรือท้องที่ และตามกำหนดเวลา ปรับ 2,000 บาท จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานเสพเมทแอมเฟตามีน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ทางนำสืบของจำเลยที่ 1 ฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 3 เดือน ฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย จำคุกตลอดชีวิต เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว ให้จำคุกตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) และปรับ 4,000 บาท จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 57, 66 วรรคสอง, 91 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83 การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันพยายามมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 4 ปี 8 เดือน และปรับ 300,000 บาท จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพฐานเสพเมทแอมเฟตามีน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ทางนำสืบของจำเลยที่ 2 ฐานร่วมกันพยายามมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 3 เดือน ฐานร่วมกันพยายามมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 3 ปี 1 เดือน 10 วัน และปรับ 200,000 บาท รวมจำคุก 3 ปี 4 เดือน 10 วัน และปรับ 200,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังไม่เกิน 1 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 65 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่), 66 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ประกอบมาตรา 53 หนึ่งในสาม จำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต และปรับ 3,000,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 33 ปี 4 เดือน และปรับ 2,000,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 เดือน ลดโทษให้จำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คนละหนึ่งในสาม ฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 33 ปี 4 เดือน และปรับ 2,000,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 22 ปี 2 เดือน 20 วัน และปรับ 1,333,333.33 บาท และลดโทษให้จำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน ให้กึ่งหนึ่ง จำคุก 2 เดือน ฐานเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรโดยไม่เดินทางออกไปตามช่องทาง ด่านตรวจคนเข้าเมือง เขตท่าสถานี หรือท้องที่และตามกำหนดเวลา ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 1,333.33 บาท ฐานเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่เดินทางเข้ามาตามช่องทาง ด่านตรวจคนเข้าเมือง เขตท่าสถานี หรือท้องที่และตามกำหนดเวลา ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 1,333.33 บาท เมื่อรวมกับโทษจำคุกฐานเสพเมทแอมเฟตามีนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 33 ปี 7 เดือน และปรับ 2,002,666.66 บาท และรวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 22 ปี 4 เดือน 20 วัน และปรับ 1,333,333.33 บาท ถ้าจำเลยทั้งสองไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังจำเลยทั้งสองแทนค่าปรับให้กักขังจำเลยทั้งสองได้เป็นเวลาเกินกว่าคนละ 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่าในเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยทั้งสองกับนายสุริยัน พร้อมยึดได้เมทแอมเฟตามีน 200 เม็ด น้ำหนัก 18.677 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 3.955 กรัม อาวุธปืนพก 1 กระบอก และกระสุนปืน 1 นัด เป็นของกลาง คดีในส่วนของจำเลยที่ 1 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไม่มีเครื่องหมายทะเบียนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และคดีในส่วนของจำเลยที่ 2 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน ฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายและฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ สำหรับความผิดฐานเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรโดยไม่เดินทางออกไปตามช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมือง เขตท่าสถานี หรือท้องที่และตามกำหนดเวลา และฐานเดินทางเข้ามาในราชอาญาจักรโดยไม่เดินทางเข้ามาตามช่องทาง ด่านตรวจคนเข้าเมือง เขตท่าสถานี หรือท้องที่และตามกำหนดเวลา ศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลยที่ 1 กระทงละ 2,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นปรับกระทงละ 1,333.33 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 มีว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย และฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองหรือไม่ โจทก์มีนาวาโทอุดมศิน จ่าเอกสุนันท์ จ่าเอกสิทธิพร จ่าเอกแสงสุรีย์ และจ่าเอกอนุสรณ์ ผู้จับกุมจำเลยทั้งสองกับนายสุริยันเป็นพยานเบิกความสอดคล้องกันว่า เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2558 เวลา 18 นาฬิกา นาวาโทอุดมศินได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีผู้ลักลอบนำเมทแอมเฟตามีนข้ามฝั่งแม่น้ำโขงจากเมืองชนะสมบูรณ์ แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เข้ามาส่งที่บริเวณสะพานไม้ข้ามห้วยหมาก ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี โดยใช้เรือเป็นยานพาหนะ จึงวางแผนจับกุมโดยให้จ่าเอกอนุสรณ์ จ่าเอกสิทธิพรและจ่าเอกแสงสุรีย์ไปซุ่มดูอยู่ทางทิศใต้ของสะพานไม้ข้ามห้วยหมากห่าง 30 เมตร ส่วนจ่าเอกสุนันท์และจ่าเอกสมพร ซุ่มดูอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงใกล้ปากทางเข้าลำน้ำห้วยหมาก เวลา 19.50 นาฬิกา จ่าเอกสุนันท์ใช้กล้อง Night Vision ส่องมองดูเหตุการณ์เห็นเรือหางยาว 2 ลำ มีคนขับเป็นชายลำละ 1 คน แล่นตามกันมาจากฝั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวตรงมาที่ลำน้ำห้วยหมาก จึงใช้วิทยุสื่อสารแจ้งให้จ่าเอกอนุสรณ์ทราบ ประมาณ 10 นาที มีชาย 2 คน ทราบชื่อภายหลังคือนายสุริยันและจำเลยที่ 1 ขับเรือหางยาวคนละลำแล่นเข้ามาในลำน้ำห้วยหมากโดยไม่มีผู้ใดใช้เรือสัญจรผ่านไปมาเลย ส่วนจ่าเอกสิทธิพร จ่าเอกแสงสุรีย์และจ่าเอกอนุสรณ์มองและเห็นจำเลยที่ 2 เดินมายืนรออยู่บนฝั่งห่างจากลำน้ำห้วยหมาก 4 เมตร และห่างจากจุดที่จ่าเอกอนุสรณ์กับพวกซุ่มอยู่ 20 ถึง 25 เมตร สักครู่หนึ่งนายสุริยันและจำเลยที่ 1 ขับเรือเข้ามาจอดที่ท่าเรือริมฝั่งลำน้ำห้วยหมาก บริเวณที่จำเลยที่ 2 ยืนรออยู่ แล้วลงจากเรือเดินขึ้นฝั่งไปหาจำเลยที่ 2 โดยนายสุริยันถือวัตถุก้อนสีดำไว้ในมือและจะยื่นวัตถุดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 จ่าเอกอนุสรณ์กับพวกจึงออกจากจุดที่ซุ่มแล้วแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานจะเข้าจับกุม จำเลยทั้งสองได้หมอบลงกับพื้น จ่าเอกแสงสุรีย์จึงควบคุมตัวจำเลยทั้งสอง แต่นายสุริยันขัดขืนไม่ยอมให้จับกุมและวิ่งกลับไปที่เรือหางยาวลำที่ขับมาจอดพร้อมกับถือวัตถุก้อนสีดำดังกล่าวไปด้วย จ่าเอกอนุสรณ์และจ่าเอกสิทธิพรจึงวิ่งตามนายสุริยันไป เมื่อนายสุริยันวิ่งไปที่เรือแล้วได้ผลักเรือออกจากฝั่งพร้อมกับชักอาวุธปืนเล็งไปที่จ่าเอกอนุสรณ์และจ่าเอกสิทธิพร จ่าเอกอนุสรณ์จึงใช้อาวุธปืนลูกซองยาวยิงออกไป 1 นัด นายสุริยันวิ่งหนีไปที่นั่งคนขับท้ายเรือและเล็งอาวุธปืนมาที่จ่าเอกอนุสรณ์และจ่าเอกสิทธิพรพร้อมกับมีเสียงสับไกปืนดังขึ้น 1 ครั้ง จ่าเอกอนุสรณ์และจ่าเอกสิทธิพรจึงใช้อาวุธปืนยิงไปที่นายสุริยันคนละ 1 นัด แล้วตามไปที่เรือดังกล่าว พบนายสุริยันนอนได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลเลือดไหลซึมที่แผ่นหลังอยู่ที่ท้ายเรือ จ่าเอกอนุสรณ์กับพวกจึงช่วยกันนำตัวนายสุริยันขึ้นจากเรือ จากการตรวจค้นเรือที่นายสุริยันจะใช้หลบหนีพบห่อวัตถุสีดำภายในบรรจุเมทแอมเฟตามีน 200 เม็ด อยู่ที่หัวเรือ มีดปลายแหลมยาว 1 ฟุต และมีดพร้าความยาวรวมด้าม 1 เมตร อยู่ที่กลางลำเรือ พบอาวุธปืนพก 1 กระบอก มีกระสุนปืนบรรจุอยู่ในรังเพลิง 1 นัด อยู่ที่ท้ายเรือจึงยึดไว้เป็นของกลาง ส่วนจำเลยที่ 1 อ้างตนเองเป็นพยานว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 14 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ขับเรือหางยาวหัวตัดออกจากลำน้ำห้วยหมากไปหาปลาที่แม่น้ำโขง โดยใช้เบ็ดตกปลาเสียบเอาไว้ที่ริมตลิ่งแม่น้ำโขงเพื่อรอเวลาให้ปลามาติดเบ็ด ซึ่งจำเลยที่ 1 หาปลาอยู่ในแม่น้ำโขงฝั่งประเทศไทย ไม่ได้ข้ามเข้าไปในฝั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หาปลามาได้ประมาณ 1 กิโลกรัม จนกระทั่งเวลาประมาณ 19 นาฬิกา ภริยาของจำเลยที่ 1 โทรศัพท์มาตามให้จำเลยที่ 1 กลับมารับประทานอาหารที่บ้าน จำเลยที่ 1 จึงเก็บอุปกรณ์หาปลาแล้วขับเรือกลับเข้าไปในลำน้ำห้วยหมาก เมื่อจำเลยที่ 1 ขับเรือเข้าไปในลำนำห้วยหมากได้สักพักหนึ่งมีเรือหางยาวลำหนึ่งทราบภายหลังว่านายสุริยันเป็นคนขับ แล่นแซงเรือของจำเลยที่ 1 ขึ้นไปข้างหน้า เมื่อไปถึงบริเวณท่าเรือริมฝั่งลำน้ำที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ขับเรือเข้าไปจอดที่ท่าก่อน ส่วนนายสุริยันเข้ามาจอดภายหลังโดยจอดอยู่ข้างหน้าห่างจากจำเลยประมาณ 5 เมตร จากนั้นจำเลยที่ 1 ลงจากเรือและผูกเรือไว้กับท่าเรือแล้วเดินขึ้นฝั่งไปหาจำเลยที่ 2 ซึ่งมายืนรอรับอยู่บนฝั่ง ทันใดนั้นมีเสียงเจ้าพนักงานร้องตะโกนให้จำเลยทั้งสองหยุดและหมอบลง จำเลยทั้งสองจึงปฏิบัติตามโดยหันหน้าเข้าหาบนฝั่งและหมอบลงกับพื้น ขณะนั้นจำเลยที่ 1 ได้ยินเสียงคนวิ่งอยู่ด้านหลังแล้วมีเสียงปืนดังขึ้น 2 ถึง 3 นัด จากนั้นเจ้าพนักงานมาบอกให้จำเลยทั้งสองไปช่วยหามนายสุริยันขึ้นจากเรือมาอยู่บนฝั่ง นายสุริยันได้รับบาดเจ็บมีเลือดไหลออกจากด้านหลัง จำเลยที่ 1 ไม่ได้ไปร่วมตรวจค้นเรือของนายสุริยัน จึงไม่ทราบว่าตรวจพบของกลางอะไร มีการตรวจค้นเรือของจำเลยที่ 1 พบแต่เบ็ดตกปลาและปลาที่ตกขึ้นมาได้ เจ้าพนักงานไม่ได้แจ้งข้อหาและไม่ได้ใส่กุญแจมือแก่จำเลยทั้งสอง เห็นว่า พยานทั้งห้าของโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกันโดยไม่มีพิรุธเริ่มตั้งแต่เมื่อได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีผู้ลักลอบนำเมทแอมเฟตามีนข้ามฝั่งแม่น้ำโขงจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเข้ามาส่งที่บริเวณสะพานไม้ข้ามห้วยหมาก พยานทั้งห้าร่วมกันวางแผนจับกุมโดยแบ่งกำลังออกเป็น 2 ชุด ไปดักซุ่มเพื่อจับกุมบริเวณใกล้ที่เกิดเหตุจนกระทั่งพบจำเลยที่ 1 และนายสุริยันขับเรือมาจอดที่ท่าเรือในเวลาใกล้เคียงกัน โดยไม่มีผู้อื่นสัญจรไปมา ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็ให้การในชั้นสอบสวนหลังจากวันเกิดเหตุเพียง 1 วัน ว่ารู้จักกับนายสุริยันเป็นอย่างดี เพราะเป็นคนบ้านเดียวกัน รู้ว่านายสุริยันเกี่ยวข้องกับเมทแอมเฟตามีนมาก่อน และเห็นนายสุริยันขับเรือไปที่ฝั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นประจำ วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ก็ไปตกปลาที่ฝั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และจำเลยที่ 1 ก็เบิกความยอมรับว่าคืนเกิดเหตุนายสุริยันขับเรือมาจอดใกล้ ๆ กับเรือของตน เจือสมกับคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าว ข้อเท็จจริงจึงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ขับเรือมาจากฝั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมาพร้อมกับนายสุริยัน เมื่อจอดเรือกันแล้วพยานโจทก์เห็นจำเลยที่ 1 และนายสุริยันเดินขึ้นฝั่งไปหาจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นน้องชายของจำเลยที่ 1 ยืนรออยู่ โดยนายสุริยันจะส่งมอบเมทแอมเฟตามีนที่ถืออยู่ในมือให้จำเลยที่ 2 ซึ่งก็มีเหตุผลเพราะนายสุริยันคงไม่ทิ้งเมทแอมเฟตามีนไว้ในเรือเพราะเสี่ยงต่อการสูญหาย คืนเกิดเหตุจำเลยที่ 2 เบิกความว่าตนติดไฟฉายไว้ที่ศีรษะด้วย อีกทั้งตอบคำถามค้านโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 ส่องไฟฉายอยู่ที่บริเวณศีรษะตลอดเวลาที่ขับเรือ จึงเชื่อว่าพยานโจทก์ที่เฝ้าซุ่มดูอยู่ในระยะใกล้มองเห็นเหตุการณ์จึงแสดงตัวจะเข้าจับกุมจำเลยทั้งสองและนายสุริยัน แล้วเห็นนายสุริยันถือเมทแอมเฟตามีนวิ่งลงเรือเพื่อหลบหนี และนายสุริยันต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงานจนได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งหมดประกอบพฤติการณ์ดังกล่าวเชื่อว่าจำเลยทั้งสองและนายสุริยันซึ่งรู้จักกันร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย และร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ โดยจำเลยที่ 1 กับนายสุริยันแล่นเรือไปนำเมทแอมเฟตามีนจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเข้ามาในราชอาณาจักร จำเลยที่ 2 ขับรถมารับจำเลยที่ 1 และนายสุริยัน ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวด้วย จำเลยที่ 2 ไม่ฎีกาโต้เถียง ที่จำเลยที่ 1 เบิกความว่าคืนเกิดเหตุไปตกปลาในแม่น้ำโขง ไม่ได้ไปตกปลาในฝั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวก็ขัดกับคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ปรากฏว่าถูกบังคับขู่เข็ญให้ให้การแต่อย่างใด เชื่อว่าให้การโดยสมัครใจ ทั้งไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเหตุบังเอิญที่จำเลยที่ 1 จะแล่นเรือและมาจอดเรือพร้อมกับนายสุริยันซึ่งมีเมทแอมเฟตามีนของกลางอยู่ในครอบครอง แล้วขึ้นจากเรือไปพร้อมกับนายสุริยันไปหาจำเลยที่ 2 พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย และฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน