แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในระยะเวลาที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลย ก็ดี ส่งหมายต่างๆให้จำเลยจนกระทั้งพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี ก็ดี เป็นไปในระหว่างจำเลยเป็นโรคเส้นประสาทอย่างแรงถึงขนาดที่เรียกว่าวิกลจริต หรือสติฟั่นเฟือนไม่ปรติ ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยมิได้จงใจหลีกเลี่ยงไปต่อสู้คดี ฉะนั้นเมื่อจำเลยร้องขอให้มีการพิจารณาคดีใหม่ ก็มีเหตุสมควรให้ดำเนินการพิจารณาใหม่ได้ ตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 209,
ย่อยาว
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยเรียกสินสมรสและมรดกของนายฮักลี้ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาศาลชั้นต้นพิจารณาคดีฝ่ายโจทก์ฝ่ายเดียว แล้วพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์ตามคำสั่งศาลเพื่อดำเนินการตามคำพิพากษา
จำเลยได้ยื่นคำร้องว่า ขอให้พิจารณาคดีใหม่โดยอ้างว่า จำเลยป่วยเป็นโรคเส้นประสาท จิตใจไม่ปรกติ ต้องไปรักษาตัวยังโรงพยาบาลโรคจิต ธนบุรี ออกจากโรงพยาบาลยังต้องไปพักผ่อนต่างจังหวัด จำเลยไม่ทราบเรื่องที่ฟ้อง
ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวน ให้ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามพฤติการณ์ที่ปรากฎข้อเท็จจริงแสดงว่า ในระยะเวลาที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยก็ดี ส่งหมายต่างๆให้จำเลยจนกระทั่งพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี ก็ดี เป็นไปในระหว่างที่จำเลยเป็นโรคเส้นประสาทอย่างรุนแรงถึงขนาดที่เรียกว่า วิกลจริต หรือสติฟั่นเฟือนไม่ปรกติ จึงเห็นสมควรให้โอกาศจำเลยได้ต่อสู้คดีตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๒๐๗, ๒๐๘, ๒๐๙, พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ดำเนินการพิจารณาคดีนี้ใหม่ ฯลฯ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาคงฟังข้อเท็จจริงตามศาลอุทธรณ์ และเชื่อว่า การขาดนัดเป็นเพราะความวิปริตของจำเลย เนื่องจากโรคเส้นประสาทอย่างรุนแรงถึงอาการวิกลจริต หาใช่เพราะจำเลยจงใจหลีกเลี่ยงไม่ต่อสู้คดีไม่ คดีมีเหตุผลสมควรให้ดำเนินการพิจารณาใหม่ตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๒๐๙ จึงพิพากษายืน