เรื่อง ยืม ค้ำประกัน
ใช้เวลาอ่านประมาณ 1 นาที
ภายหลังจากจำเลยที่ 1 ผิดนัดตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2558 โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยทั้งสี่เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2558 ตามเอกสารหมาย จ.10 และเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2559 โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ตามเอกสารหมาย จ.11 ถึง จ.17 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เมื่อลูกหนี้ผิดนัด ให้เจ้าหนี้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้ำประกันภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด…” บทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้กำหนดรูปแบบข้อความของหนังสือบอกกล่าวไว้อย่างชัดเจน เพียงแต่ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายต้องการให้ผู้ค้ำประกันทราบถึงข้อเท็จจริงว่าลูกหนี้ผิดนัดแล้ว เพื่อผู้ค้ำประกันจะได้ใช้สิทธิเข้าชำระหนี้แทนลูกหนี้เพื่อลดภาระหนี้ การตีความข้อความในหนังสือบอกกล่าวจึงไม่จำต้องยึดถือรูปแบบที่เคร่งครัด เมื่อปรากฏว่าเอกสารหมาย จ.10 แผ่นที่ 3 ถึงที่ 5 ซึ่งโจทก์ส่งไปยังจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 มีเนื้อความระบุว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นมียอดหนี้จำนวนเงินค้างชำระและยังมิได้ชำระหนี้ ขอให้ไปชำระหนี้ ย่อมถือได้ว่าเป็นหนังสือบอกกล่าวซึ่งมีข้อความที่แจ้งว่าลูกหนี้ผิดชำระหนี้ เข้าลักษณะเป็นหนังสือบอกกล่าวตามความมุ่งหมาย มาตรา 686 วรรคหนึ่ง แล้ว อย่างไรก็ตาม แม้เอกสารดังกล่าวมีข้อความชัดเจนเพียงพอว่าเป็นหนังสือบอกกล่าวไปถึงผู้ค้ำประกันก็ตาม แต่โจทก์ก็ต้องนำสืบให้รับฟังได้ว่าผู้ค้ำประกันได้รับหนังสือบอกกล่าวภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัด เมื่อพิเคราะห์เอกสารหมาย จ.10 แผ่นที่ 3 ถึงที่ 5 ล้วนไม่มีรอยตราไปรษณีย์ประทับเพื่อแสดงว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้รับหนังสือวันใด อีกทั้งโจทก์ก็มิได้มีหลักฐานใบตอบรับมาแสดงด้วย จึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้รับหนังสือบอกกล่าวภายใน 60 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัด จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นบรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังเมื่อพ้นกำหนดเวลาแล้วตามมาตรา 686 วรรคสอง โจทก์คงเรียกให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยที่คิดได้เพียง 60 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดเท่านั้น