คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8336/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ จำเลยถูกจับในท้องที่อำเภอสระแก้วจังหวัดปราจีนบุรี ในข้อหาพยายามฆ่าและต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ปลอมแปลงเอกสารและใช้เอกสารปลอมกับข้อหาอื่น ๆ ซึ่งมิใช่ข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจทก์ตามที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย จำเลยถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำอำเภอกบินทร์บุรี แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 22 คำว่า จำเลยถูกจับในท้องที่หนึ่ง หมายถึงเจ้าพนักงานจับจำเลยจริง ๆ ในเขตศาลนั้นตามที่ถูกกล่าวหา เมื่อจำเลยถูกจับในความผิดฐานอื่นและเจ้าพนักงานตำรวจได้อายัดตัวจำเลยมาสอบสวนในคดีนี้ ถือไม่ได้ว่าคดีนี้จำเลยถูกจับในเขตอำนาจศาลจังหวัดกบินทร์บุรี โจทก์ฟ้องจำเลยต่อ ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีไม่ได้ เรือนจำอำเภอกบินทร์บุรีซึ่งจำเลยต้องโทษจำคุกอยู่ในคดีอื่นในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยในคดีนี้ คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างอุทธรณ์ เรือนจำจึงมิใช่ท้องที่ที่จำเลยมีที่อยู่ เพราะคดีดังกล่าวจำเลยมิได้ถูกจำคุกตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 1ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ.2535จึงไม่อาจถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่เรือนจำอำเภอกบินทร์บุรีอีกด้วยโจทก์จึงฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดกบินทร์บุรีไม่ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (3) (8), 357, 33 ซึ่งเหตุเกิดที่ตำบลสระพระ อำเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า จำเลยไม่มีที่อยู่หรือถูกจับในคดีที่ฟ้องในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น ยังไม่มีเหตุผลสมควรจะรับฟ้องให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำบรรยายฟ้องและคำร้องขออนุญาตฟ้องคดีของโจทก์ ปรากฎว่าในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เจ้าพนักงานตำรวจได้จับจำเลยในท้องที่อำเภอสระแก้ว จังหวัดปราจีนบุรี ในข้อหาพยายามฆ่าและต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ปลอมแปลงเอกสารและใช้เอกสารปลอมกับข้อหาอื่น ๆ ซึ่งมิใช่ข้อหาลักทรัพย์หรือรับรองโจรตามที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ เมื่อจำเลยถูกฟ้อง ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 27 ปี 9 เดือน ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2646/2537 จำเลยถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำอำเภอกบินทร์บุรี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 22 บัญญัติว่า เมื่อความผิดเกิดขึ้น อ้างหรือเชื่อว่าได้เกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลใด ให้ชำระที่ศาลนั้น แต่ถ้า(1) เมื่อจำเลยมีที่อยู่ หรือถูกจับในท้องที่หนึ่ง ฯลฯ จะชำระที่ศาลซึ่งท้องที่นั้น ๆ อยู่ในเขตอำนาจก็ได้ คำว่าจำเลยถูกจับในท้องที่หนึ่งหมายถึงเจ้าพนักงานจับจำเลยจริง ๆในเขตศาลนั้นตามที่ถูกกล่าวหา แต่ตามบันทึกการจับกุมจำเลยกับคำร้องขออนุญาตฟ้องคดีของโจทก์ ปรากฎว่าจำเลยถูกจับในความผิดฐานพยายามฆ่าและต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่และความผิดฐานอื่น ๆ ซึ่งมิใช่ความผิดตามที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้ เจ้าพนักงานตำรวจคงจะขยายผลการกระทำผิดของจำเลยจึงได้อายัดตัวจำเลยมาสอบสวนในคดีนี้ กรณีถือไม่ได้ว่าคดีนี้จำเลยถูกขับในเขตอำนาจศาลจังหวัดกบินทร์บุรีส่วนเรือนจำอำเภอกบินทร์บุรีซึ่งจำเลยต้องโทษจำคุกอยู่ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2464/2537 ในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยในคดีนี้ปรากฎว่าคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างอุทธรณ์เรือนจำจึงหาใช่ท้องที่ที่จำเลยมีที่อยู่ไม่เพราะคดีดังกล่าวจำเลยมิได้ถูกจำคุกตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 1 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ.2535และบทบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับก่อนที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ ดังนั้น จึงไม่อาจถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่เรือนจำอำเภอกบินทร์บุรีอีกด้วย คำพิพากษาฎีกาที่ 3103/2536ระหว่างพนักงานอัยการประจำศาลจังหวัดสีคิ้ว โจทก์ นายจันทร์ ไทยนอก กับพวก จำเลย ที่โจทก์อ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ โจทก์จะอาศัยความสะดวกในการดำเนินคดีแก่จำเลยโดยมิได้ปฎิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ ในเรื่องเขตอำนาจศาลมาฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดกบินทร์บุรีหาชอบไม่ ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้
พิพากษายืน

Share