คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 400/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นผู้บอกให้จำเลยที่ 2 ไปซื้อของกลางที่ถูกยึด ในครั้งแรกแล้วนำไปขายนำเงินมาแบ่ง และจำเลยที่ 1 ยังเป็นผู้เดินนำจำเลยที่ 2 เข้าไปในป่าละเมาะบริเวณที่ของกลางซุกซ่อนอยู่และก้มลง หยิบเฟืองเกียร์ของกลางจึงถูกจับกุม พฤติการณ์ดังกล่าวจำเลยที่ 1ย่อม ทราบมาก่อนว่า ของกลางเป็นของร้ายที่ซุกซ่อนไว้ จำเลยที่ 1มีความผิดฐานรับของโจร.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335,357, 83 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 39,070 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก จำคุก 3 ปี คำให้การของจำเลยที่ 2 ในชั้นสอบสวนและจำเลยที่ 2 นำสืบในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หนึ่งในสามคงจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 2 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 1คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก ลงโทษจำคุก 3 ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาลมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสามคงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้มีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี จำเลยที่ 2ฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยคงมีปัญหา…ว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานรับของโจรตามฟ้องหรือไม่เห็นว่า โจทก์มีนายสมศักดิ์ อนุกูลกาญจน์ ผู้เสียหายเบิกความว่าทรัพย์ของกลางตามเอกสารหมาย จ.2 ที่ผู้เสียหายนำเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจยึดจากนายภิญโญ ประทีป ณ ถลาง ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์2532 นั้น นายภิญโญบอกว่าซื้อมาจากจำเลยที่ 2 วันรุ่งขึ้นผู้เสียหายจึงไปสอบถามจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 บอกว่าซื้อมาจากจำเลยที่ 1ผู้เสียหายจึงบอกจำเลยที่ 2 ว่าถ้าจำเลยที่ 1 เอาทรัพย์ของผู้เสียหายที่เหลือมาบอกขายอีก ให้บอกให้ผู้เสียหายทราบ วันที่ 26กุมภาพันธ์ 2532 จำเลยที่ 2 มาบอกผู้เสียหายว่าจำเลยที่ 1 จะเอาของมาขายให้ที่บริเวณป่าละเมาะข้างโรงงานแทนทาลั่มในเวลา 15 นาฬิกาของวันเดียวกัน ผู้เสียหายจึงแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจและร่วมกับจ่าสิบตำรวจองอาจ เซ่งยี่ กับพวก นำรถติดตามจำเลยทั้งสองไปถึงป่าละเมาะตรงกันข้ามกับโรงงานแทนทาลั่ม จำเลยที่ 1 ลงจากรถจักรยานยนต์ที่นั่งซ้อนท้ายรถที่จำเลยที่ 2 ขับ จำเลยที่ 1ได้เดินนำหน้าจำเลยที่ 2 เข้าไปที่ป่าละเมาะดังกล่าวเมื่อผู้เสียหายและจ่าสิบตำรวจองอาจกับพวกตามไป ก็เห็นจำเลยที่ 1 กำลังก้มลงหยิบเฟืองเกียร์ซึ่งเป็นทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกลักไป จ่าสิบตำรวจองอาจกับพวกจึงเข้าจับกุมจำเลยที่ 1 ไว้พร้อมเฟืองเกียร์ 6 ชิ้นตามเอกสารหมาย จ.5 ในบริเวณป่าละเมาะนั้น ตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.4 นำส่งพนักงานสอบสวน คำเบิกความของผู้เสียหายดังกล่าวสอดคล้องตรงกับคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจองอาจพยานโจทก์รับฟังเป็นความจริงได้ ได้ความจากร้อยตำรวจโทโชติ ชิดไชยพนักงานสอบสวนพยานโจทก์อีกว่า จำเลยที่ 1 บอกแก่ร้อยตำรวจโทโชติว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้แนะนำให้ชายไม่ทราบชื่อขายของกลางให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 2 นำของกลางมาชั่งน้ำหนักที่บ้านจำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 1 อยู่ด้วยเมื่อชั่งแล้วจำเลยที่ 2นำเอาของไปขายให้แก่นายภิญโญแล้วเอาเงินที่ได้มาให้แก่ชายผู้ขายของกลางและแบ่งให้แก่จำเลยที่ 1 ดังนี้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1เป็นผู้บอกให้จำเลยที่ 2 ไปซื้อของกลางตามเอกสารหมาย จ.2ที่ถูกยึดในครั้งแรกแล้วนำของกลางไปขายนำเงินมาแบ่ง และจำเลยที่ 1 ยังเป็นผู้เดินนำจำเลยที่ 2 เข้าไปในป่าละเมาะบริเวณที่ของกลางตามเอกสารหมาย จ.5 ซุกซ่อนอยู่และจำเลยที่ 1 ได้ก้มลงหยิบเฟืองเกียร์ของกลางจึงถูกจับกุม พฤติการณ์ดังกล่าวจำเลยที่ 1ย่อมทราบมาก่อนว่าของกลางเป็นของร้ายซุกซ่อนไว้ รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานรับของโจรตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 โดยไม่รอการลงโทษชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share