คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 994/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ชายหมั้นและแต่งงานกับหญิงตามประเพณี โดยชายหมั้นให้ของหมั้นและสินสอดแก่ฝ่ายหญิงจนได้อยู่กินด้วยกันแล้วไม่ไปจดทะเบียนสมรส ฝ่ายชายเป็นฝ่ายผิด ต่อมาชายหญิงเลิกกัน ชายจะฟ้องเรียกของหมั้นและสินสอดคืนหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้สู่ขอจำเลยที่ ๓ บุตรจำเลยที่ ๑,๒ โดยตกลงให้ทองหมั้น ๒ บาท สินสอด ๕๐๐๐ บาท สินเดิม ๑๐๐๐ บาท โจทก์และจำเลยที่ ๓ ได้แต่งงานตามประเพณีโจทก์ได้มอบทองหมั้นสินสอด เงินสินเดิมไว้แก่จำเลย โจทก์และจำเลยที่ ๓ได้อยู่กินที่บ้านจำเลยที่ ๑,๒ จำเลยที่ ๓ หลีกเลี่ยงไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรส ในที่สุดจำเลยที่ ๓ ได้ทุบตีขับไล่โจทก์ ๆ ต้องไปอาศัยอยู่กับบิดา การกระทำของจำเลยเป็นการผิดสัญญาหมั้นและมีเหตุผลสำคัญอันเกิดแต่ฝ่ายจำเลยจึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยคืนทองหมั้นราคา ๙๖๐ บาท สินสอด ๕๐๐๐ บาท เงินทุน ๑๐๐๐ บาท กับข้าวที่โจทก์ทำมาหาได้เกวียน ระหว่างอยู่กินกับจำเลย ๕ เดือน ราคา ๕๐๐๐ บาท
จำเลยให้การว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น จำเลยเคยเตือนให้โจทก์ไปจดทะเบียนสมรสแก่โจทก์ก็เพิกเฉยเสีย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด โจทก์อาศัยอยู่กินกับจำเลยที่ ๑,๒ และช่วยทำนาโจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่งข้าว
ศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดไม่มีสิทธิเรียกสินสอดทองหมั้นคืน ส่วนเงินกองทุน ๑๐๐๐ บาท นั้นเมื่อไม่ได้เป็นสามีภรรยากันตาม ก.ม.จำเลยก็ต้องคืนให้โจทก์ เรื่องข้าวเปลือกเห็นว่าเป็นเรื่องช่วยกันทำกินโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องข้าวรายนี้ได้พิพากษาให้จำเลยใช้เงินกองทุน ๑๐๐๐ บาท ฟ้องข้ออื่นให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่ไปจดทะเบียนสมรสโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกสินสอดและทองหมั้นคืน ส่วนแบ่งข้าวนั้นฟังได้ว่าโจทก์ช่วยจำเลยที่ ๑,๒ ทำนาอย่างเช่นบุคคลช่วยบิดามารดาจึงไม่ใช่เจ้าของร่วม ไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาส่วนแบ่งได้ พิพากษายืน

Share