แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายโดยอาศัยมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง ซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาที่ถึงที่สุด มีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/32 คดีดังกล่าวศาลแพ่งมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2538 โดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุดเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2538 แม้โจทก์จะเคยฟ้องจำเลยต่อศาลล้มละลายกลางมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่คดีดังกล่าวได้เสร็จไปโดยศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความเพราะเหตุที่โจทก์ขาดนัดพิจารณา ต้องถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/17 วรรคหนึ่ง แม้คำสั่งจำหน่ายคดีดังกล่าวจะไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะเสนอคำฟ้องใหม่ แต่โจทก์ก็ต้องฟ้องคดีใหม่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยอายุความ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 203 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 14 ซึ่งนับจากวันที่คดีแพ่งดังกล่าวถึงที่สุดจนถึงวันที่ฟ้องคดีนี้คือวันที่ 6 ธันวาคม 2555 เกิน 10 ปีแล้ว คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลล้มละลายกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2538 ศาลแพ่งมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 13696/2538 ให้จำเลยและนายประเสริฐ ร่วมกันชำระเงิน 1,488,966.30 บาท พร้อมดอกเบี้ย กับใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท แก่ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เจ้าหนี้เดิม วันที่ 20 ธันวาคม 2543 เจ้าหนี้เดิมโอนขายหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวอันเป็นสินทรัพย์ด้อยคุณภาพให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์พญาไท จำกัด วันที่ 3 กันยายน 2546 บริษัทบริหารสินทรัพย์พญาไท จำกัด โอนขายหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวต่อให้แก่โจทก์ ซึ่งศาลแพ่งมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์เข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนเจ้าหนี้เดิมเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2548 วันที่ 2 กันยายน 2548 โจทก์นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งดังกล่าวยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลล้มละลายกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ล.4812/2548 ต่อมาศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพราะโจทก์ขาดนัดพิจารณา โจทก์จึงนำมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งดังกล่าวมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2555 คิดถึงวันฟ้องคดีนี้จำเลยยังคงค้างชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาเป็นเงินรวม 3,445,010.86 บาท
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อแรกว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายโดยอาศัยมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง ซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาที่ถึงที่สุด มีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/32 คดีดังกล่าวศาลแพ่งมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2538 โดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุดเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2538 แม้โจทก์จะเคยฟ้องจำเลยต่อศาลล้มละลายกลางมาแล้วครั้งหนึ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ล.4812/2548 เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2548 แต่คดีดังกล่าวได้เสร็จไปโดยศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความเพราะเหตุที่โจทก์ขาดนัดพิจารณา ต้องถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/17 วรรคหนึ่ง แม้คำสั่งจำหน่ายคดีดังกล่าวจะไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะเสนอคำฟ้องใหม่ แต่โจทก์ก็ต้องฟ้องคดีใหม่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยอายุความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 203 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 14 ซึ่งนับจากวันที่คดีแพ่งดังกล่าว ถึงที่สุดจนถึงวันที่ฟ้องคดีนี้คือวันที่ 6 ธันวาคม 2555 เกิน 10 ปีแล้ว คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลล้มละลายกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ชอบแล้ว กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ