คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1463/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากพื้นที่เช่าและส่งมอบคืนโจทก์ภายใน 7 วัน นับแต่ศาลมีคำพิพากษา ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง 87,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากพื้นที่เช่าและส่งมอบแก่โจทก์ และให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 12,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากพื้นที่เช่าและส่งมอบคืนโจทก์ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง 12,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป เป็นหนี้เงินอันเกิดจากสัญญาเช่าโจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยของค่าเช่าที่ค้างไปจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้ค่าเช่าเสร็จสิ้น จะบังคับชำระดอกเบี้ยไปจนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินและส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ซึ่งเป็นหนี้ให้กระทำการอันหนึ่งอันใดอันเกิดจากมูลละเมิดเป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขเป็นให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง 12,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หรือจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์และบริวารออกจากพื้นที่เช่าและส่งมอบแก่โจทก์ตามที่โจทก์ขอมาท้ายฟ้อง แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากพื้นที่เช่าและส่งมอบคืนโจทก์ภายใน 7 วัน นับแต่ศาลมีคำพิพากษา ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง 87,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากพื้นที่เช่าและส่งมอบแก่โจทก์ และให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 12,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากพื้นที่เช่าและส่งมอบคืนโจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งขอให้พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 1277 ด้านทิศใต้ตามทางเดินเข้าออกตลาดความกว้าง 2 เมตร ยาว 12 เมตร พื้นที่ปูกระเบื้องและโครงเหล็กตลอดแนวด้านทิศตะวันตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ให้โจทก์ไปดำเนินการแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวและโอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลย หากโจทก์ไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาทตามแนวเขตที่ดิน และส่งมอบที่ดินพิพาทคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง 12,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทและส่งมอบที่ดินพิพาทคืนโจทก์ กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 6,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทและส่งมอบที่ดินพิพาทคืนโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยใช้แทนเท่าที่โจทก์ชนะคดี ยกฟ้องแย้งของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ กำหนด ค่าทนายความเป็นเงิน 10,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า นายสรายุทธ บิดาโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1277 เนื้อที่ 2 งาน 34 ตารางวา ต่อมาวันที่ 16 กรกฎาคม 2553 นายสรายุทธถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย โจทก์นำคำสั่งศาลไปจดทะเบียนรับโอนที่ดินในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตาย จำเลยมีร้านขายเสื้อผ้าตั้งอยู่ในที่ดินพิพาทเนื้อที่ 4.2 ตารางวา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 1277
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์หรือจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้เช่าให้ออกจากที่ดินพิพาท โดยมีสัญญาเช่าซึ่งมีลายมือชื่อจำเลยในช่องผู้เช่า และลายมือชื่อนายโดมพันธุ์สามีจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันมาแสดง จำเลยเองก็เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านรับว่า สัญญาเช่ามีชื่อจำเลยในช่องผู้เช่าและชื่อนายโดมพันธุ์เป็นผู้ค้ำประกันจริง ที่จำเลยอ้างว่าไม่ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาเช่า ลายมือชื่อในช่องผู้เช่าไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยนั้น ศาลได้พิจารณาเปรียบเทียบลายมือชื่อในช่องผู้เช่าตามสัญญาเช่ากับลายมือชื่อของจำเลยในใบแต่งทนายความแล้ว มีลีลาการเขียนและรูปลักษณะของตัวอักษรคล้ายคลึงกันมาก นายโดมพันธุ์เบิกความเป็นพยานจำเลยว่า พยานไม่แน่ใจว่าลายมือชื่อในช่องผู้ค้ำประกันเป็นของพยานหรือไม่ ถือว่านายโดมพันธุ์มิได้ปฏิเสธลายมือชื่อดังกล่าว เชื่อว่าลายมือชื่อในช่องผู้เช่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยจริง ทั้งโจทก์มีนางสิริกัลยาผู้ไปเก็บค่าเช่าจากจำเลยเบิกความยืนยันว่า นายพิทักษ์บุตรของจำเลยเป็นผู้ชำระค่าเช่าแทนจำเลยตลอดมา และนายพิทักษ์ลงลายมือชื่อเป็นหลักฐานว่าได้ชำระค่าเช่าและรับหนังสือขอปรับเพิ่มค่าเช่าในสมุดรับเงินด้วย นอกจากนี้จำเลยยังยอมรับในฎีกาว่า จำเลยเป็นคู่สัญญาเช่ากับโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์และชำระค่าเช่าให้โจทก์จริง ดังนั้น การครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยจึงเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่า อันเป็นการครอบครองแทนผู้ตายและโจทก์มิได้ครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จำเลยไม่อาจได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น และไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง 12,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปนั้น เป็นหนี้เงินอันเกิดจากสัญญาเช่า โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยของค่าเช่าที่ค้างไปจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้ค่าเช่าเสร็จสิ้นจะบังคับชำระดอกเบี้ยไปจนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินและส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ซึ่งเป็นหนี้ให้กระทำการอันหนึ่งอันใดอันเกิดจากมูลละเมิดเป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้องและไม่เกินคำขอท้ายฟ้อง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง 12,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หรือจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากพื้นที่เช่าและส่งมอบแก่โจทก์ตามที่โจทก์ขอมาท้ายฟ้องแล้ว แต่พฤติการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 5,000 บาท แทนโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากนี้ให้เป็นพับ

Share