แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์และฟ้องแย้งขอให้โจทก์รังวัดแบ่งแยกที่ดินใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยประเมินราคาทุนทรัพย์ตามที่ฟ้องแย้งและเสียค่าขึ้นศาลภายใน 7 วัน ดังนี้เมื่อจำเลยฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยจำเลยจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้องแย้ง จะอ้างว่าฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการขอให้ศาลพิพากษารับรองและคุ้มครองสิทธิของตนที่มีและได้มาแล้วโดยผลของกฎหมายมิได้ เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้องแย้งภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลชอบที่จะไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยเสียได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 218232และ 218233 ตำบลบางกะปิ (ลาดพร้าวฝั่งเหนือ) อำเภอห้วยขวาง (บางกะปิ)กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 2 โฉนดรวม 7.5 ไร่ จำเลยเป็นผู้เช่าที่ดินดังกล่าวเพียงบางส่วน เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ โดยจำเลยปลูกสร้างบ้านเลขที่ 16 ลงบนที่ดินและใช้ประโยชน์ในที่ดินที่เช่า เมื่อประมาณต้นปี 2539 โจทก์มีความประสงค์จะใช้สอยที่ดินของโจทก์ จึงมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดิน โดยให้ส่งมอบที่ดินแก่โจทก์ ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2539 จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้วเพิกเฉยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 16 ถนนริมคลองบางกะปิ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร และสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 218232 และ 218233 ตำบลบางกะปิ (ลาดพร้าวฝั่งเหนือ) อำเภอห้วยขวาง (บางกะปิ) กรุงเทพมหานคร รวมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินด้วย ให้จำเลยใช้ค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์เป็นเงิน 139,000 บาท และค่าขาดประโยชน์เดือนละ 30,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งโดยขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมจำเลยอาศัยและทำประโยชน์ในที่พิพาทตลอดมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 50 ปี โดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินในส่วนที่พิพาท ขอให้ยกฟ้องโจทก์ และให้โจทก์ดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินโดยใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท หากโจทก์ไม่ดำเนินการให้จำเลยดำเนินการโดยคาใช้จ่ายของโจทก์และให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาแล้วมีคำสั่งว่า จำเลยไม่ยากจน ให้ยกคำร้อง ให้จำเลยประเมินราคาทุนทรัพย์ตามที่ฟ้องแย้งมาและให้เสียค่าขึ้นศาลภายใน 7 วัน นับแต่วันมีคำสั่ง หากจำเลยไม่เสียถือว่าจำเลยไม่ประสงค์จะฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า จำเลยไม่ยากจนถึงกับไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมฟ้องแย้งได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถานั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย หากจำเลยยังติดใจที่จะฟ้องแย้งก็ให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งนี้
จำเลยมิได้นำค่าธรรมเนียมศาลมาวางภายในเวลาที่ศาลอุทธรณ์กำหนดศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่า จำเลยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายในเวลาที่ศาลอนุญาตให้ขยาย ถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องแย้ง (ที่ถูกน่าจะเป็นคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง)
จำเลยยื่นคำร้องว่า ที่จำเลยยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาก็เพื่อขอให้จำเลยดำเนินคดีโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการดำเนินกระบวนการพิจารณาในศาลซึ่งหมายถึงค่าธรรมเนียมทั้งปวงที่จำเลยพึงต้องเสียในการดำเนินกระบวนพิจารณานั้น แต่ฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทเป็นฟ้องแย้งที่จำเลยไม่มีหน้าที่ต้องชำระค่าขึ้นศาล เพราะเป็นเพียงขอให้ศาลพิพากษารับรองและคุ้มครองสิทธิที่จำเลยมีและได้มาแล้วโดยผลของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 มิใช่คำขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่จะต้องชำระค่าขึ้นศาล ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งที่ไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยแล้วมีคำสั่งใหม่เป็นรับฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ไม่มีเหตุผลเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยจะต้องชำระค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้องแย้งหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า คำฟ้องแย้งของจำเลยเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เพื่อขอให้ศาลพิพากษารับรองและคุ้มครองสิทธิที่จำเลยได้มาแล้วโดยผลของกฎหมาย จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าขึ้นศาลอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทจำเลยต่อสู้ว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์และฟ้องแย้งขอให้โจทก์รังวัดแบ่งแยกที่ดินใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท การต่อสู้กรรมสิทธิ์ของจำเลย จำเลยอาจต่อสู้กรรมสิทธิ์เพียงเพื่อให้ศาลยกฟ้องโจทก์หรืออาจฟ้องแย้งเข้ามาด้วย เพื่อให้ศาลพิพากษาให้ที่พิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย คดีนี้จำเลยฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย จำเลยจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้องแย้ง จำเลยจะอ้างว่าฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการขอให้ศาลพิพากษารับรองและคุ้มครองสิทธิของจำเลยที่มีและได้มาแล้วโดยผลของกฎหมายมิได้เพราะโจทก์จำเลยยังโต้เถียงกรรมสิทธิ์กันอยู่ เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้องแย้งภายในเวลาที่ศาลกำหนด ศาลก็ชอบที่จะไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยเสียได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน