แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่คู่ความแต่งตั้งทนายความให้ว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 60 นั้น เป็นการแต่งตั้งตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ 15 ว่าด้วยตัวแทนเมื่อโจทก์ซึ่งเป็นตัวการถึงแก่กรรม สัญญาตัวแทนย่อมระงับไปทนายโจทก์คงมีอำนาจและหน้าที่จัดการดำเนินคดีเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของโจทก์ต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 828 จนกว่าทายาทหรือผู้แทนของโจทก์จะอาจเข้ามาปกปักรักษาประโยชน์ของโจทก์ อำนาจทนายโจทก์หาได้หมดสิ้นไปทันทีเมื่อโจทก์ถึงแก่กรรมไม่ ทนายโจทก์มีอำนาจลงนามเป็นผู้ฎีกาแทนโจทก์ได้ แต่เมื่อครบกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ที่ปรากฎต่อศาลว่าโจทก์ถึงแก่กรรมแล้วไม่มีผู้ใดยื่นคำขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ จึงให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 42
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นางสร้อยไข่ ธนปกรณ์ ดำเนินคดีแทน เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2522 จำเลยยืมเงินโจทก์ 1,500,000บาท แล้วไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน2,623,437.50 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน1,500,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า หนี้สินระหว่างโจทก์จำเลย จำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,500,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีแก่โจทก์ นับแต่วันที่ 13 กันยายน 2532เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอนอกนั้นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาว่าฎีกาของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยแก้ฎีกาว่า โจทก์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 30 เมษายน2534 นางสร้อยไข่ผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนไม่ได้ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่นายศิริชัยทนายโจทก์เป็นเพียงตัวแทนช่วงของตัวความคือโจทก์ อำนาจของตัวแทนและตัวแทนช่วงย่อมสิ้นสุดลงเมื่อโจทก์ถึงแก่กรรม นายศิริชัยทนายโจทก์มายื่นฎีกาภายหลังโจทก์ถึงแก่กรรม คำฟ้องฎีกาของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังได้จากคำแถลงรับของนางสร้อยไข่ผู้รับมอบอำนาจโจทก์และทนายจำเลยในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาว่า โจทก์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2534 ขณะคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ผู้มรณะ จนกระทั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ทำคำพิพากษาและอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ฟังเมื่อวันที่ 27 มีนาคม2535 นายศิริชัยทนายโจทก์ซึ่งผู้รับมอบอำนาจโจทก์แต่งตั้งให้เป็นทนายความเป็นผู้ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2535 เห็นว่าการที่คู่ความแต่งตั้งทนายความให้ว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 60 นั้น เป็นการแต่งตั้งตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ 15 ว่าด้วยตัวแทนดังนั้นเมื่อโจทก์ซึ่งเป็นตัวการถึงแก่กรรม สัญญาตัวแทนย่อมระงับไปทนายโจทก์คงมีอำนาจและหน้าที่จัดการดำเนินคดีเพื่อปกป้องรักษาประโยชน์ของโจทก์ต่อไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 828 จนกว่าทายาทหรือผู้แทนของโจทก์จะอาจเข้ามาปกปักรักษาประโยชน์ของโจทก์ ทนายโจทก์ย่อมมีอำนาจที่จะรักษาประโยชน์ของตัวความไว้ได้อำนาจทนายความหาได้หมดสิ้นไปทันทีเมื่อโจทก์ถึงแก่กรรมไม่ ทนายโจทก์มีอำนาจลงนามเป็นผู้ฎีกาแทนโจทก์ได้เทียบเคียงนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1635/2520 ระหว่าง วัดจันทร์สโมสร โดย นายสวัสดิ์รักวณิชย์ ผู้รับมอบอำนาจ โจทก์ นายตงจุ่น แซ่โอว โดยนายอัมพรอนุตตรกุลวนิช ผู้เข้าเป็นคู่ความแทน จำเลย ฎีกาของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายแต่ความปรากฏต่อศาลฎีกาว่า เมื่อครบกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ที่ปรากฏต่อศาลว่าโจทก์ถึงแก่กรรมแล้วไม่มีผู้ใดยื่นคำขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์โดยไม่ปรากฏเหตุผลว่าเป็นเพราะเหตุใด ทั้งปรากฏตามมาณบัตรว่านางสร้อยไข่เป็นผู้แจ้งการตาย จึงเห็นสมควรให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42
จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา