คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 43/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ข้อความในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีระบุว่า เมื่อถึงกำหนด12 เดือน คือ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2533 และไม่มี การต่ออายุการเบิกเงินเกินบัญชีเป็นหนังสือกำหนดเวลา กันใหม่ ผู้เบิกเงินเกินบัญชีและธนาคารตกลงให้มีการต่อสัญญานี้ต่อไปอีกคราวละ 6 เดือนตลอดไปนั้น หมายความเพียงว่าหลังจากครบกำหนดในสัญญาแล้ว จำเลยที่ 1 ยังคงเบิกเงินจากโจทก์ต่อไปโดยไม่มีการต่ออายุสัญญาเป็นหนังสือจึงจะเป็น การตกลงให้มีการเบิกเงินเกินบัญชีต่อไปอีกคราวละ 6 เดือน วันครบกำหนดชำระหนี้คือวันที่ 13 พฤศจิกายน 2533แต่โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นทุกวันสิ้นเดือนเป็นรายเดือนดังนั้น ดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2533 ถึงวันที่13 พฤศจิกายน 2533 ยังไม่ครบ 1 เดือน โจทก์จึงคิดดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้ คงคิดดอกเบี้ยได้แบบไม่ทบต้น เมื่อสัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1สิ้นสุดลงในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2533 โจทก์ชอบที่จะหักเงินจาก บัญชีเงินฝากประจำของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 พร้อมดอกเบี้ยชำระหนี้ให้โจทก์ ทั้งตามรายการบัญชีไม่ปรากฏรายการวันที่ 13 พฤศจิกายน 2533 คงปรากฏรายการเพียงวันที่ 31 ตุลาคม 2533 ว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์1,100,010.68 บาท ดังนั้น ยอกเงินดังกล่าวจึงเป็นต้นเงินสำหรับคิดดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้น อัตราร้อยละ 11.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2533 ไปจนกว่าจำเลยที่ 1จะชำระเงินแก่โจทก์เสร็จ โดยให้นำเงินจากบัญชีเงินฝากประจำ ของจำเลยที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยหักชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2533 และให้หักเงินที่จำเลยที่ 1 นำเข้าบัญชีนับแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2533 เป็นต้นไป ออกจากยอดเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระ โดยหักออกชดใช้ เป็นค่าดอกเบี้ยไม่ทบต้นก่อนที่เหลือให้หักชำระต้นเงินทุกครั้ง ที่มีการนำเงินเข้าบัญชี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 214,489.15 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีจากต้นเงิน 201,188.65 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2532 จำเลยที่ 1 เปิดบัญชีกระแสรายวันกับโจทก์และวันที่ 13 พฤศจิกายน 2532 ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ในวงเงิน 1,000,000 บาท มีกำหนดชำระคืนภายใน12 เดือน ยอมเสียดอกเบี้ยทบต้นตามประเพณีธนาคารพาณิชย์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และให้โจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นได้ไม่เกินอัตราสูงสุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย หากผิดนัดยอมให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ โดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และจำเลยที่ 2นำสมุดฝากเงินประจำจำนวนเงิน 1,000,000 บาท จำนำเป็นประกันหนี้ไว้แก่โจทก์ยอมให้โจทก์หักเงินฝากพร้อมดอกเบี้ยชำระหนี้ได้ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้เบิกเงินจากโจทก์และนำเงินเข้าบัญชีเพื่อหักทอนหนี้กับโจทก์หลายครั้งอันเป็นการเดินสะพัดทางบัญชีกับโจทก์ และจำเลยที่ 1 เป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีโจทก์เรื่อยมา วันที่ 13 พฤศจิกายน 2534 โจทก์หักเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของจำเลยที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยชำระหนี้โจทก์โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้ส่วนที่ยังค้างชำระ แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย
คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 สิ้นสุดลงเมื่อใดและจำเลยที่ 1 ยังเป็นหนี้โจทก์หรือไม่ เพียงใดเห็นว่าข้อความในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเอกสารหมาย จ.6 ข้อ 4 ระบุว่าเมื่อถึงกำหนด 12 เดือน ตามข้อ 1 (คือวันที่ 13 พฤศจิกายน 2533)และไม่มีการต่ออายุการเบิกเงินเกินบัญชีเป็นหลักฐานหนังสือกำหนดเวลากันใหม่ ผู้เบิกเงินเกินบัญชีและธนาคารตกลงกันให้มีการเบิกเงินเกินบัญชีตามสัญญานี้ต่ออีกคราวละ 6 เดือนตลอดไปหมายความเพียงว่าหลังจากครบกำหนดชำระหนี้ตามข้อ 1 แล้ว จำเลยที่ 1ยังคงเบิกเงินจากโจทก์ต่อไปโดยไม่มีการต่ออายุสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเป็นหนังสือจึงจะเป็นการตกลงให้มีการเบิกเงินเกินบัญชีต่อไปอีกคราวละ 6 เดือน หาใช่ว่าเมื่อครบกำหนดชำระหนี้ตามข้อ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ได้เบิกเงินจากโจทก์อีกต่อไปจะเป็นการตกลงให้มีการเบิกเงินเกินบัญชีต่อไปอีกคราวละ 6 เดือน ตลอดไปไม่ ตามทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่ามีการต่อสัญญาเป็นหนังสือกันต่อไปแต่อย่างใด ทั้งตามรายการบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.16 ไม่ปรากฏรายการเดินสะพัดในบัญชีอันจะเป็นหลักฐานแสดงว่านับแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2533ซึ่งเป็นวันครบกำหนดชำระหนี้ จำเลยที่ 1 ขอเบิกเงินจากบัญชีหรือโจทก์ยอมให้จำเลยที่ 1 เบิกเงินเกินบัญชีต่อไป ไม่ปรากฏว่านับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำเลยที่ 1 ได้เบิกเงินจากโจทก์อีก การที่จำเลยที่ 1 นำเงินเข้าบัญชีหลายครั้งภายหลังจากครบกำหนดชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีแล้วก็เป็นการนำเงินเข้าบัญชีเพื่อชำระหนี้เท่านั้นไม่ใช่เพื่อให้มีการเดินสะพัดทางบัญชีต่อไปเพราะไม่มีลักษณะเป็นการเดินสะพัดทางบัญชีหักกลบลบกัน พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่ประสงค์จะต่อสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีอีกต่อไปสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีอันเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดย่อมเลิกกันมิใช่มีการต่อสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีออกไปอีกคราวละ 6 เดือนตามเอกสารหมาย จ.6 ข้อ 4 บัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงสิ้นสุดลงในวันครบกำหนดชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีคือวันที่ 13 พฤศจิกายน 2533 ซึ่งมีผลให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยที่ 1 ได้ถึงวันสิ้นสุดสัญญาเท่านั้น แต่ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.6 ข้อ 2 ว่าผู้เบิกเงินเกินบัญชีตกลงให้ดอกเบี้ยแก่ธนาคารสำหรับจำนวนเงินที่เบิกเกินบัญชีทบต้นตามประเพณีธนาคารพาณิชย์ซึ่งธนาคารจะคำนวณและลงบัญชีตามวิธีการของธนาคารพาณิชย์ทุกเดือน และปรากฏว่าตามเอกสารหมาย จ.16โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นทุกวันสิ้นเดือนเป็นรายเดือน ดังนั้นดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2533 ถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน2533 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดสัญญานั้นยังไม่ถึง 1 เดือน ตามสัญญาและประเพณีที่โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นโจทก์จึงคิดดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้คิดได้แต่เพียงดอกเบี้ยไม่ทบต้น และหลังจากสัญญาบัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดแล้วโจทก์คิดดอกเบี้ยได้แบบไม่ทบต้น ส่วนปัญหาว่าจำเลยที่ 1ยังเป็นหนี้โจทก์หรือไม่ เพียงใดนั้น ปรากฏตามอัตราการคิดดอกเบี้ยเอกสารหมาย จ.17 ว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยในเดือนมกราคมถึงเดือนพฤศจิกายน 2533 ในอัตราร้อยละ 11.5 ต่อปี ดังนั้นนับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2533 โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1แบบไม่ทบต้นได้ในอัตราร้อยละ 11.5 ต่อปี เมื่อสัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 สิ้นสุดลงในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2533แล้วโจทก์ก็ชอบที่จะหักเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของจำเลยที่ 2พร้อมดอกเบี้ยชำระหนี้โจทก์ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2533แต่โจทก์กลับเพิกเฉยและยังคงคิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือนจากจำเลยที่ 1 โดยไม่มีสิทธิตลอดมาทำให้ยอดหนี้ค้างชำระของจำเลยที่ 1ตามที่ปรากฏในบัญชีกระแสรายวันสูงขึ้น โจทก์ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมาจนครบ 1 ปี จึงนำเงินฝากประจำของจำเลยที่ 2 เข้าหักทอนบัญชีซึ่งไม่ถูกต้องตามรายการบัญชีเอกสารหมาย จ.16 ไม่ปรากฏรายการวันที่ 13 พฤศจิกายน 2533 ปรากฏรายการเพียงวันที่ 31 ตุลาคม 2533ว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ 1,100,010.68 บาท จึงให้ถือยอดเงินดังกล่าวเป็นต้นเงินสำหรับคิดดอกเบี้ยไม่ทบต้นอัตราร้อยละ 11.5ต่อปี นับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2533 ไปจนกว่าจำเลยที่ 1จะชำระเงินแก่โจทก์เสร็จ โดยให้นำเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของจำเลยที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยหักชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ในวันที่14 พฤศจิกายน 2533 และให้หักเงินที่จำเลยที่ 1 นำเข้าบัญชีนับแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2533 เป็นต้นไปออกจากยอดเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระโดยหักออกชดใช้เป็นค่าดอกเบี้ยไม่ทบต้นก่อน ที่เหลือให้หักชำระต้นเงินทุกครั้งที่มีการนำเงินเข้าบัญชีจำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดต่อโจทก์เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 1,100,010.68 บาท พร้อมดอกเบี้ยไม่ทบต้นอัตราร้อยละ 11.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2533 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ให้นำเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของจำเลยที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยหักชำระหนี้ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2533 และให้หักเงินที่จำเลยที่ 1นำเข้าบัญชีนับแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2533 เป็นต้นไปออกจากยอดเงินที่จำเลยทั้งสามต้องชำระโดยหักออกชดใช้เป็นค่าดอกเบี้ยไม่ทบต้นก่อน ที่เหลือให้หักชำระต้นเงินทุกครั้งที่มีการนำเงินเข้าบัญชี

Share