แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
แม้ผู้ขายรถยนต์คันพิพาทให้แก่โจทก์จะไม่มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาท ไม่อาจโอนขายให้โจทก์ได้ก็ตาม แต่โจทก์ได้รับโอนรถยนต์คันพิพาทมาโดยสุจริตเสียค่าตอบแทนมีการโอนทะเบียนรถยนต์โดยเปิดเผย โจทก์ได้ยึดถือรถยนต์คันพิพาทไว้ โดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน มีการแจ้งย้ายทะเบียนรถยนต์ไปยังภูมิลำเนาของโจทก์ และโจทก์ครอบครองใช้ประโยชน์ รถยนต์คันพิพาทตลอดมา โจทก์ย่อมมีสิทธิครอบครองรถยนต์ คันพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 โจทก์จึงมีสิทธิใช้สอย และได้รับประโยชน์จากรถยนต์ คันพิพาท มีสิทธิให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครอง โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 1374 มีสิทธิโอนสิทธิ ครอบครองตามมาตรา 1378 และอาจได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ คันพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 ดังนี้ หากมีวินาศภัยเกิดขึ้นแก่รถยนต์คันพิพาทในระหว่างที่อยู่ในความครอบครองของโจทก์ โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายต้องขาดประโยชน์ในการใช้สอยรถยนต์คันพิพาทไปจากที่เคยได้รับเป็นปกติ ผู้มีสิทธิเอาประกันภัยนั้นมิได้จำกัดเพียงเฉพาะผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่เอาประกันภัยเท่านั้นผู้ที่มีความสัมพันธ์อยู่กับทรัพย์หรือสิทธิหรือผลประโยชน์หรือรายได้ใด ๆ ซึ่งถ้ามีวินาศภัยเกิดขึ้นจะทำให้ผู้นั้นต้องเสียหายและความเสียหายที่ผู้นั้นจะได้รับสามารถประมาณ เป็นเงินได้แล้ว ผู้นั้นย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่อาจ เอาประกันภัยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863 โจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการยึดถือครอบครองใช้ประโยชน์ จากรถยนต์คันพิพาท โจทก์จึงมีสิทธิเอาประกันภัยรถยนต์ ดังกล่าวไว้แก่จำเลยโดยมิต้องคำนึงถึงว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์ คันพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ เมื่อรถยนต์คันพิพาท ที่เอาประกันภัยได้สูญหายไป โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกร้อง ให้จำเลยผู้รับประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ตามสัญญาประกันภัยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 239,040.41 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 210,000 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีส่วนได้เสียตามกฎหมาย สัญญาประกันภัยจึงไม่สมบูรณ์ กรมธรรม์ประกันภัยเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์จำนวน210,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า รถยนต์คันพิพาทมีหมายเลขทะเบียนที่แท้จริง คือ 1 ข – 9466 กรุงเทพมหานคร เป็นของนายยูกิโอะ ยามาโมโต ประธานกรรมการบริษัทไทยเซโรแกรฟฟิคซิสเท็ม จำกัด ซื้อมาจากบริษัทวรจักรยนต์ จำกัด เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2527 นายยูกิโอะ ได้เอาประกันภัยรถยนต์คันพิพาทไว้แก่บริษัทไตโชมารีนแอนด์ไฟร์ อินชัวรันส์ จำกัด ในนามของบริษัทไทยเซโรแกรฟฟิคซิสเท็ม จำกัด ในวงเงิน 500,000 บาท ตามเอกสารหมาย ล.1 ต่อมาวันที่ 13 กรกฎาคม 2527 รถยนต์คันพิพาทถูกคนร้ายลักไปหลังจากนั้นมีผู้ปลอมทะเบียนรถยนต์คันพิพาทเป็นหมายเลขทะเบียน ก – 1423 จันทบุรี และปลอมลายมือชื่อนายทะเบียนยานพาหนะจังหวัดจันทบุรีแจ้งย้ายทะเบียนรถยนต์คันพิพาทไปที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระบุชื่อนายมงคลสุประดิษฐ์ เป็นเจ้าของรถได้หมายเลขทะเบียน ก – 2069 พระนครศรีอยุธยา ต่อมาเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2527 โจทก์ได้ซื้อรถยนต์คันพิพาทจากนายมงคลในราคา 220,000 บาท และโอนทะเบียนที่แผนกทะเบียนยานพาหนะจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในวันเดียวกันโดยระบุราคาซื้อขายเป็นจำนวนเงิน 140,000 บาท โจทก์ได้แจ้งย้ายทะเบียนรถยนต์คันพิพาทจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาไปยังจังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นภูมิลำเนาโจทก์ได้หมายเลขทะเบียนใหม่เป็น ก – 4833 นครปฐม วันที่ 10 กันยายน 2527 โจทก์ได้เอาประกันภัยรถยนต์คันพิพาทไว้แก่จำเลยเพื่อประกันวินาศภัยอันเกิดจากการลักทรัพย์ในวงเงิน 200,000 บาท และสำหรับอุปกรณ์ประจำรถยนต์อันได้แก่เครื่องปรับอากาศ วิทยุ ล้อแม็กซ์ ในวงเงิน 10,000 บาท มีอายุการประกันภัย 1 ปี นับแต่วันที่ 10 กันยายน 2527 ถึงวันที่ 10 กันยายน 2528 โจทก์ชำระเบี้ยประกันภัยแก่จำเลยแล้ว ต่อมาวันที่ 4 พฤศจิกายน 2527 รถยนต์คันพิพาทหายไปโจทก์ติดต่อให้จำเลยชำระเงินจำนวน 210,000 บาท ตามสัญญาประกันภัยแล้ว จำเลยไม่ชำระอ้างว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์คันพิพาท
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัยรถยนต์คันพิพาทหรือไม่ เห็นว่า แม้นายมงคลผู้ขายรถยนต์คันพิพาทให้แก่โจทก์จะไม่มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาทไม่อาจโอนขายให้โจทก์ได้ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ได้รับโอนรถยนต์คันพิพาทมาโดยสุจริตเสียค่าตอบแทนมีการโอนทะเบียนรถยนต์โดยเปิดเผย โจทก์ได้ยึดถือรถยนต์คันพิพาทไว้โดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนมีการแจ้งย้ายทะเบียนรถยนต์จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาไปยังจังหวัดนครปฐมซึ่งเป็นภูมิลำเนาของโจทก์และครอบครองใช้ประโยชน์รถยนต์คันพิพาทตลอดมา โจทก์ย่อมมีสิทธิครอบครองรถยนต์คันพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 โจทก์จึงมีสิทธิใช้สอยและได้รับประโยชน์จากรถยนต์คันพิพาท มีสิทธิให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1374 มีสิทธิโอนสิทธิครอบครองตามมาตรา 1378 และอาจได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 จึงเป็นที่เห็นได้ว่าหากมีวินาศภัยเกิดขึ้นแก่รถยนต์คันพิพาทในระหว่างที่อยู่ในความครอบครองของโจทก์ โจทก์ย่อมได้รับความเสียหาย คือ ต้องขาดประโยชน์ในการใช้สอยรถยนต์คันพิพาทไปจากที่เคยได้รับเป็นปกติทั้งผู้มีสิทธิเอาประกันภัยนั้นมิได้จำกัดเพียงเฉพาะผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่เอาประกันภัยเท่านั้นผู้ที่มีความสัมพันธ์อยู่กับทรัพย์หรือสิทธิหรือผลประโยชน์หรือรายได้ใด ๆ ซึ่งถ้ามีวินาศภัยเกิดขึ้นจะทำให้ผู้นั้นต้องเสียหายและความเสียหายที่ผู้นั้นจะได้รับสามารถประมาณเป็นเงินได้แล้ว ผู้นั้นย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่อาจเอาประกันภัยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863โจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการยึดถือครอบครองใช้ประโยชน์จากรถยนต์คันพิพาท โจทก์จึงมีสิทธิเอาประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวไว้แก่จำเลยโดยมิต้องคำนึงถึงว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่เมื่อรถยนต์คันพิพาทที่เอาประกันภัยได้สูญหายไป โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกร้องให้จำเลยผู้รับประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ตามสัญญาประกันภัยได้”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น