แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ความผิดฐานลักทรัพย์ที่พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกระทำต่อกัน เป็นความผิดอันยอมความได้ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรค 2 ทั้งความผิดฐานยักยอกทรัพย์ก็เป็นความผิดอันยอมความกันได้ เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นพี่ไปแจ้งความกล่าวหาว่าจำเลยผู้เป็นน้องทำการลักทรัพย์และยักยอกทรัพย์ของโจทก์ ต่อมามีการตกลงประนีประนอมโดยการทำบันทึกแบ่งทรัพย์สินกันบันทึกตกลงดังกล่าวไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และถือได้ว่าเป็นบันทึกที่มีมูลหนี้ต่อกันระหว่างโจทก์จำเลย
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 410,000 บาท แก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยใช้เงินจำนวน 319,908.09 บาท แก่โจทก์ โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ความผิดฐานลักทรัพย์ที่พี่น้อง (โจทก์-จำเลย) ร่วมบิดามารดาเดียวกันกระทำต่อกันเป็นความผิดอันยอมความได้ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรคสอง ทั้งความผิดฐานยักยอกทรัพย์ก็เป็นความผิดต่อส่วนตัวอันอาจยอมความกันได้ เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นพี่ไปแจ้งความกล่าวหาว่าจำเลยผู้เป็นน้องทำการลักทรัพย์และยักยอกทรัพย์ของโจทก์ ต่อมามีการตกลงประนีประนอมโดยการทำบันทึกแบ่งทรัพย์สินกัน จึงหาเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่อย่างใดไม่ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว และถือได้ว่า บันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นบันทึกที่มีมูลหนี้ต่อกันระหว่างโจทก์-จำเลย”
พิพากษายืน