แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่าลูกจ้างขับขี่รถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ใช้ให้ลูกจ้างผู้นั้นขับขี่รถดังกล่าวไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่1 เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้ใช้ลูกจ้างขับขี่รถยนต์ของจำเลยที่ 1 คันเกิดเหตุ แต่กลับได้ความว่าหลังจากเลิกงานแล้วลูกจ้างแอบขึ้นไปเอากุญแจรถคันเกิดเหตุจากที่แขวนตามปกติที่ตึกชั้นสามแล้วใช้ขับรถคันเกิดเหตุไปเที่ยวโดยพลการจนเกิดเหตุชนกันย่อมถือไม่ได้ว่าลูกจ้างกระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยทั้งสาม
ในคดีละเมิด เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสามจะต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิดซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างจำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ โจทก์ย่อมมีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงให้ได้ความตามที่โจทก์กล่าวอ้าง เมื่อโจทก์ไม่สามารถนำสืบให้ได้ความตามที่กล่าวอ้าง ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างต่อโจทก์ไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการวินาศภัย โจทก์ที่ ๒ เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน นฐ. ๒๗๒๐๐ โจทก์ที่ ๑ ได้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน นฐ. ๒๗๒๐๐ และรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน นฐ. ๒๙๓๓๕ ประเภทประกันภัยค้ำจุนในวงเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และ ๕๐,๐๐๐ บาท ตามลำดับ จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน ๑ บ – ๘๘๐๓ กรุงเทพมหานคร เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และนายวิชิต เจริญโต เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๒ เวลาประมาณ ๒๒ นาฬิกา นายลิขิตลูกจ้างจำเลยที่ ๑ ได้ขับขี่รถบรรทุกคันหมายเลขทะเบียน ๑ บ – ๘๘๐๓ ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ ด้วยความเร็วและโดยประมาทชนท้ายรถบรรทุกคันหมายเลขทะเบียน นฐ. ๒๗๒๐๐ อย่างแรงเป็นเหตุให้รถบรรทุกคันหมายเลขทะเบียน นฐ. ๒๗๒๐๐ ไหลไปชนท้ายรถบรรทุกคันหมายเลขทะเบียน นฐ. ๒๙๓๓๕ ทำให้รถเสียหาย นายลิขิตถึงแก่ความตาย โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลการปฏิบัติงานได้ใช้ให้นายลิขิตขับขี่รถยนต์ดังกล่าวไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ จำเลยทั้งสามจึงต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองขอให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า นายลิขิต เจริญโต ไม่ใช่ลูกจ้างขับรถของจำเลยที่ ๑ ขณะเกิดเหตุนายลิขิตไม่ได้ขับรถคันหมายเลขทะเบียน ๑ บ – ๔๘๐๓ ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ ทั้งการที่นายลิขิตขับรถออกไปยังที่เกิดเหตุมิได้เกิดจากการใช้หรือวานหรือความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ แต่เกิดเหตุนอกเวลาจ้างและนอกทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ โดยนายลิขิตได้ลักลอบขับรถดังกล่าวออกไปจากที่พักกับคนงานอีกคนหนึ่งในเวลากลางคืนและโดยพลการเพื่อไปเที่ยวเตร่ ขากลับมาจึงได้เกิดเหตุอันมิใช่เป็นการปฏิบัติงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ เหตุคดีนี้ไม่ใช่ความประมาทของนายลิขิต แต่เป็นความประมาทของผู้ขับรถบรรทุกคันหมายเลขทะเบียน นฐ. ๒๗๒๐๐ และ นฐ. ๒๙๓๓๕ ซึ่งจอดกีดขวางเส้นทางจราจรในยามวิกาลโดยไม่เปิดไฟหรือให้สัญญาณ ทำให้รถของจำเลยที่ ๑ เสียหาย ขอให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ ๑ ได้ฟ้องแย้งขอให้บังคับให้โจทก์ทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วย
จำเลยที่ ๑ ไม่นำส่งสำเนาฟ้องแย้งภายในกำหนด ๑๕ วัน ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้จำหน่ายฟ้องแย้งออกเสียจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ อุทธรณ์เป็นข้อกฎหมายเพียงข้อเดียวว่านายลิขิตมิได้กระทำละเมิดในทางการที่จ้าง จำเลยทั้งสามจึงไม่ควรรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามว่านายลิขิตได้กระทำละเมิดในทางการที่จ้างหรือไม่ เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์จำต้องถือตามข้อเท็จจริงตามข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้น แต่ปรากฏว่าประเด็นข้อนี้ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยตามข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสามว่า รับฟังได้เพียงใดหรือไม่จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ผิดต่อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงใหม่แทนข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้นดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๓ (๓) (ก) ว่า นายลิขิต เจริญโต เป็นคนงานมีหน้าที่ขุดหลุมปักเสาไฟฟ้าที่จำเลยที่ ๓ จ้างเป็นลูกจ้างรายวัน ไม่มีหน้าที่ขับรถยนต์ นายลิขิตนำรถคันเกิดเหตุของจำเลยที่ ๑ ไปขับโดยพลการมิได้ขออนุญาตจากจำเลยที่ ๓ ผู้ครอบครองรักษารถโจทก์ไม่มีพยานนำสืบว่านายลิขิตขับรถไปชนท้ายรถของโจทก์ที่ ๒ ได้กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยทั้งสาม พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาที่ว่านายลิขิตขับรถคันเกิดเหตุไปชนรถฝ่ายโจทก์ได้กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยทั้งสามหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่า นายลิขิตกระทำการไปในทางการที่จ้างจนเกิดเหตุครั้งนี้โดยจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ใช้ให้นายลิขิต เจริญโต ขับขี่รถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ๑ บ – ๘๘๐๓ กรุงเทพมหานคร ไปปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ใช้ให้นายลิขิตขับขี่รถยนต์ของจำเลยที่ ๑ คันเกิดเหตุตามฟ้องแต่กลับได้ความว่า หลังจากเลิกงานแล้วนายลิขิตแอบขึ้นไปเอากุญแจรถคันเกิดเหตุจากที่แขวนตามปกติที่ตึกชั้นสามแล้วใช้ขับรถคันเกิดเหตุไปเที่ยวโดยพลการจนเกิดเหตุชนกันครั้งนี้ ย่อมถือไม่ได้ว่านายลิขิตกระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยทั้งสาม
ในปัญหาที่โจทก์อ้างว่า เมื่อนายลิขิตขับรถไปกระทำละเมิดจำเลยทั้งสามจะอ้างความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยทั้งสามกับนายลิขิตมาปฏิเสธความรับผิดไม่ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อโจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสามจะต้องร่วมกันรับผิดกับนายลิขิตลูกจ้างในผลแห่งละเมิด ซึ่งนายลิขิตได้กระทำไปในทางการที่จ้าง จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ โจทก์ทั้งสองย่อมมีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงให้ได้ความตามที่โจทก์กล่าวอ้าง เมื่อโจทก์ทั้งสองไม่สามารถนำสืบให้ได้ความตามที่กล่าวอ้าง ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดกับนายลิขิตต่อโจทก์ทั้งสองไม่ได้ ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.