แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์ที่พิพาทที่โจทก์นำยึดทรัพย์ของจำเลย โจทก์ให้การว่าผู้ร้องรับโอนที่พิพาทจากจำเลยโดยคบคิดกันฉ้อฉล ดังนี้ หากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่พิพาทภายใน 1 ปี นับแต่โจทก์ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอน หรือภายใน 10 ปี นับแต่จำเลยโอนที่พิพาทให้ผู้ร้อง ก็ถือว่าการยึดทรัพย์เป็นการกระทำการอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดีขอให้เพิกถอนการฉ้อฉล ซึ่งทำให้อายุความเกี่ยวกับการเพิกถอนการฉ้อฉลสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/14(5) และตราบใดที่พิพาทยังถูกยึดอยู่เหตุที่จะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงก็ยังไม่สิ้นสุด อายุความจึงยังไม่เริ่มนับ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจาก ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสามในฐานะทายาทนางจินตนาร่วมกันชำระเงินตามสัญญาซื้อขายหลักทรัพย์และหนังสือรับสภาพหนี้พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ โดยให้รับผิดไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่จำเลยทั้งสามคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 47638เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาโดยอ้างว่าเป็นทรัพย์มรดกของนางจินตนา
ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องทั้งสามเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยทั้งสามในคดีนี้ ที่ดินที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องทั้งสามมิใช่ทรัพย์มรดกของนางจินตนาซึ่งตกทอดได้แก่ผู้ร้องทั้งสามในฐานะทายาทโดยธรรม โจทก์ไม่มีสิทธินำยึดขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า ที่ดินที่โจทก์นำยึดมิได้เป็นของผู้ร้องทั้งสามแต่เป็นทรัพย์มรดกของนางจินตนา ซึ่งตกทอดได้แก่ผู้ร้องทั้งสามในฐานะทายาทโดยธรรม ผู้ร้องทั้งสามได้ที่ดินมาโดยนางจินตนามารดายกให้โดยเสน่หาเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2532 ก่อนนางจินตนาถึงแก่กรรมเพียง 18 วัน อันเป็นการคบคิดกันฉ้อฉล เนื่องจากนางจินตนาไม่ต้องการให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ ทำให้โจทก์เสียเปรียบ ผู้ร้องทั้งสามไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด ขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขอ
ผู้ร้องทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว เห็นควรวินิจฉัยฎีกาของผู้ร้องทั้งสามในปัญหาว่า การที่โจทก์ทราบเรื่องที่นางจินตนาโอนที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสามเมื่อเดือนกันยายน 2534 แต่มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนการโอน คดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240 หรือไม่เสียก่อนเห็นว่า แม้นายวัชรินทร์ นิลโมจน์ พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้แทนโจทก์ในการบังคับคดีจะเบิกความตอบทนายผู้ร้องทั้งสามถามค้านว่าพยานทราบเมื่อประมาณเดือนกันยายน 2534 ว่า ที่ดินพิพาทมีชื่อผู้ร้องทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ซึ่งถือได้ว่าโจทก์รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนการฉ้อฉลแล้วก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 1กรกฎาคม 2535 ซึ่งเป็นการกระทำการอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดีขอให้เพิกถอนการฉ้อฉล และยังอยู่ภายในกำหนดเวลา 1 ปีนับแต่เวลาที่โจทก์ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนดังกล่าวอายุความย่อมสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/14(5) และตราบใดที่ที่ดินพิพาทยังถูกยึดอยู่เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงก็ยังไม่สิ้นสุด อายุความไม่เริ่มนับใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/15 วรรคสองดังนั้นเมื่อผู้ร้องทั้งสามมาร้องขัดทรัพย์ว่า ที่ดินพิพาทที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องทั้งสาม โจทก์ต่อสู้ว่ายังเป็นของนางจินตนาโดยการโอนที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสามเป็นการคบคิดกันฉ้อฉล คดีจึงไม่ขาดอายุความ ทั้งนับแต่วันที่ 26 มกราคม2532 ที่นางจินตนายกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสามยังไม่พ้น10 ปี ก็ไม่ขาดอายุความ ฎีกาข้อนี้ของผู้ร้องทั้งสามฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อต่อไปซึ่งผู้ร้องทั้งสามฎีกาว่า ที่ดินพิพาทมีชื่อผู้ร้องทั้งสามเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ซึ่งผู้ร้องทั้งสามได้มาโดยนิติกรรมที่นางจินตนายกให้โดยเสน่หา มิได้ได้มาโดยทางมรดกจึงมิใช่ทรัพย์มรดกของนางจินตนาที่โจทก์จะยึดมาชำระหนี้ได้และโจทก์นำสืบไม่ได้ตามข้อกล่าวอ้างว่า นางจินตนาโอนที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสามโดยไม่สุจริตจึงเพิกถอนการโอนไม่ได้ เห็นว่าแม้ที่ดินพิพาทจะมีชื่อผู้ร้องทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ซึ่งผู้ร้องทั้งสามได้มาโดยนิติกรรมที่นางจินตนายกให้ก็ตามแต่หากได้ความว่าการยกให้นั้นเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบอันเป็นการฉ้อฉล โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็อาจยึดที่ดินพิพาทได้ซึ่งข้อนี้โจทก์ได้นำสืบนางวีณา สุขภิรมย์เกษมและนายวัชรินทร์เป็นพยานฟังได้ว่า นางจินตนาเป็นหนี้โจทก์ประมาณ 1,600,000 บาท โจทก์ทวงถามแล้ว นางจินตนาชำระให้เพียงบางส่วนและขอผัดผ่อนเรื่อยมา ต่อมานางจินตนาถึงแก่กรรมโจทก์จึงฟ้องผู้ร้องทั้งสามเป็นจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของนางจินตนาให้ชำระหนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ผู้ร้องทั้งสามชำระหนี้ของนางจินตนาแก่โจทก์รวมเป็นเงิน 1,473,824.18 บาทพร้อมดอกเบี้ยโดยให้รับผิดไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ผู้ร้องทั้งสามตามสำเนาคำพิพากษาเอกสารหมาย ร.13ก่อนถึงแก่กรรมเพียง 18 วัน นางจินตนาได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสามโดยเสน่หาเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2532 จากข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าวประกอบกับผู้ร้องที่ 2 เบิกความรับว่านางจินตนามีเพียงเงินฝากในธนาคารเป็นเงิน 141,381.46 บาทซึ่งไม่พอชำระหนี้โจทก์ และไม่มีทรัพย์สินอื่นใดอีกดังนี้พฤติการณ์แห่งคดีย่อมน่าเชื่อตามข้อกล่าวอ้างของโจทก์ว่านางจินตนาโอนที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสามโดยเสน่หาโดยรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบอันเป็นการฉ้อฉลโจทก์นำสืบได้ตามข้อกล่าวอ้าง จึงเพิกถอนการโอนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์มรดกของนางจินตนาอันตกทอดได้แก่ผู้ร้องทั้งสามโจทก์นำยึดเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ฎีกาข้อนี้ของผู้ร้องทั้งสามฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน