แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ข้อความที่กล่าวจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ ต้องพิเคราะห์ถึงความรู้สึกของวิญญูชนทั่ว ๆ ไปเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่า ข้อความที่กล่าวนั้นถึงขั้นที่ทำให้ผู้ถูกหมิ่นประมาทน่าจะเสียชื่อเสียง ถูกบุคคลอื่นดูหมิ่นเกลียดชังหรือไม่ ไม่ใช่พิจารณาตามความรู้สึกของผู้ถูกหมิ่นประมาทแต่ฝ่ายเดียว การที่จำเลยเบิกความเป็นพยานไปตามที่ทนายความซักถามว่า โจทก์ไม่ค่อยทำหน้าที่ธนาคารได้ลงโทษตัดเงินเดือนโจทก์ 10 เปอร์เซ็นต์ ฐานไม่ค่อยมาทำงาน ซึ่งโจทก์ก็รับว่าเป็นความจริงเพียงแต่เลี่ยงไปว่าถูกลงโทษฐานออกไปนอกสถานที่นั้นจำเลยมีเจตนาจะให้ความจริงต่อศาลในการ พิจารณาคดีมิได้มีเจตนาที่จะกลั่นแกล้งใส่ความโจทก์ให้ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชังแต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์เป็นหัวหน้าแผนกประจำธนาคารนั้น โจทก์จะมีตำแหน่งที่แท้จริงเป็นหัวหน้าแผนกประจำกองหรือหัวหน้าแผนกประจำธนาคารวิญญูชนทั่วไปได้ยินได้ฟังแล้วหามีความเข้าใจในข้อแตกต่างของความหมายแห่งถ้อยคำของตำแหน่งหน้าที่ทั้งสองไม่ ผู้ได้ยินได้ฟังก็ไม่ถือหรือเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนไม่ดีอันเป็นการใส่ความ คำเบิกความของจำเลยดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา326 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อความที่จำเลยกล่าวจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ ต้องพิเคราะห์ถึงความรู้สึกของวิญญูชนทั่ว ๆ ไปเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่าข้อความที่กล่าวมานั้นถึงขั้นที่ทำให้โจทก์น่าจะเสียชื่อเสียง ถูกบุคคลอื่นดูหมิ่นเกลียดชังหรือไม่ไม่ใช่พิจารณาตามความรู้สึกของผู้ถูกหมิ่นประมาทแต่ฝ่ายเดียวการที่จำเลยเบิกความไปตามที่ทนายความซักถามว่า โจทก์ไม่ค่อยทำหน้าที่ ธนาคารได้ลงโทษตัดเงินเดือนโจทก์ 10 เปอร์เซ็นต์ฐานไม่ค่อยมาทำงาน ซึ่งโจทก์ก็รับว่าเป็นความจริงเพียงแต่เลี่ยงไปว่าถูกลงโทษฐานออกไปนอกสถานที่นั้นเห็นว่า จำเลยมีเจตนาจะให้ความจริงต่อศาลในการพิจารณาคดีอาญาดังกล่าว มิได้มีเจตนาที่จะแกล้งใส่ความโจทก์ให้ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชังแต่อย่างใดส่วนที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์เป็นหัวหน้าแผนกประจำธนาคารนั้นศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์จะมีตำแหน่งที่แท้จริงเป็นหัวหน้าแผนกประจำกองหรือหัวหน้าแผนกประจำธนาคารวิญญูชนทั่วไปได้ยินได้ฟังแล้วหามีความเข้าใจในข้อแตกต่างของความหมายแห่งถ้อยคำของตำแหน่งหน้าที่ทั้งสองไม่ ที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์เป็นหัวหน้าแผนกประจำธนาคารผู้ได้ยินได้ฟังก็ไม่ถือหรือเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนไม่ดีอันเป็นการใส่ความคำเบิกความจำเลยดังกล่าวมาแล้วจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์เข้าใจคลาดเคลื่อนเพราะตีความว่าถ้าพยานตอบคำถามของทนายความแล้วแม้จะพูดใส่ความใครก็ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น เห็นว่าแท้ที่จริงศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเพียงว่า ข้อความตามที่โจทก์อ้างว่าใส่ความโจทก์นั้นเป็นข้อความที่จำเลยตอบคำถามของทนายโจทก์และจำเลยเป็นการตอบไปตามประเด็นที่คู่ความซักถามตามหน้าที่ของพยานทั้งข้อความที่จำเลยเบิกความดังกล่าวก็ไม่มีความร้ายแรงถึงขนาดที่จะทำให้ผู้ฟังเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนมีความประพฤติไม่ดีจนถูกลงโทษ อันจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชัง ตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่มีข้อความตอนใดที่ได้วินิจฉัยว่า ถ้าพยานตอบคำถามของทนายความแล้ว แม้จะพูดใส่ความใครก็ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทดังฎีกาโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์มานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน