แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์มีชื่อในโฉนดร่วมกับจำเลยและผู้มีชื่อตามที่ระบุไว้ในคำฟ้องโดยโจทก์ได้รับการยกให้จากมารดาและโจทก์ได้เข้าครอบครองที่พิพาทปรากฏเขตตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นส่วนสัดมากว่า 10 ปี จำเลยไม่ยอมแบ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่โจทก์ครอบครองให้โจทก์ ดังนี้ เป็นฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม แม้ฟ้องโจทก์จะบรรยายว่า โฉนดที่พิพาทมีชื่อโจทก์จำเลย ล.และท.ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันแต่ในทางพิจารณาได้ความว่ามีชื่อร.ในโฉนดที่พิพาทด้วย ก็ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความในทางพิจารณาแตกต่างไปจากฟ้องเพราะ ร. ซึ่งมีชื่อในโฉนดที่พิพาทด้วยเป็นพี่จำเลยได้รับมรดกที่พิพาทจากบิดามารดาเช่นเดียวกับจำเลยแต่บวชเป็นพระภิกษุ ไม่เคยครอบครองมากกว่า 10 ปีไม่ จึงไม่ทำให้ฟ้องเสียไปแต่อย่างใด เมื่อจำเลยฟ้องแล้ว ดังนั้นจึงหาเกี่ยวกับที่พิพาทในส่วนที่โจทก์ได้รับการยกให้และครอบครองมากว่า 10 ปีไม่จึงไม่ทำให้ฟ้องเสียไปแต่อย่างใด เมื่อจำเลยคัดค้านการแบ่งแยกโฉนดพิพาท ย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทมีชื่อโจทก์จำเลย ล. และ ท.ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน เจ้าของร่วมต่างได้แบ่งแยกกันครอบครองเป็นส่วนสัดมาเป็นเวลาหลายสิบปี ต่อมาทุกคนยื่นเรื่องราวขอแบ่งแยกที่ดินต่อเจ้าพนักงานตามส่วนของตน จำเลยคัดค้านทำให้โจทก์ไม่อาจแบ่งแยกที่ดินเป็นส่วนของตนได้ ขอให้จำเลยไปยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อรังวัดแบ่งแยกที่ดินตามแผนที่ท้ายฟ้องให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยจำเลยให้การว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นกรรมสิทธิ์รวมโดยเจ้าของรวมทุกคนไม่ทราบว่าที่ส่วนของตนอยู่ตอนใด มีเนื้อที่เท่าไร คงบรรยายไว้กว้าง ๆ ว่าใครได้กี่ส่วนเท่านั้น ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินร่วมกับโจทก์ เพื่อรังวัดแบ่งแยกที่ดินตามแผนที่พิพาทแปลงหมายเลข 1และหมายเลข 5 ให้แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องขอแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ร่วมในที่พิพาทอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์มาโดยการครอบครองปรปักษ์แต่ไม่ได้บรรยายว่า โจทก์ครอบครองที่ดินในส่วนของผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมคนใดหรือส่วนไหนที่เป็นของจำเลย มีเนื้อที่เท่าไร ทำให้จำเลยไม่อาจต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่าโจทก์มีชื่อในโฉนดที่พิพาทร่วมกับจำเลย และผู้มีชื่อตามที่ระบุไว้ในคำฟ้องโดยโจทก์ได้รับการยกให้จากมารดาโจทก์ และโจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทปรากฏมีเขตตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นส่วนสัดมากว่า 10 ปีจำเลยไม่ยอมแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่โจทก์ครอบครองให้โจทก์เห็นได้ชัดแจ้งว่า ไม่มีข้อความตอนใดเคลือบคลุมอันจะเป็นเหตุให้จำเลยหลงข้อต่อสู้หรือไม่เข้าใจฟ้องแต่อย่างใด ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้ครอบครองเป็นส่วนสัดในที่พิพาทไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินตามแผนที่พิพาทแปลงหมายเลข 1 และเลข 5 นั้นเห็นว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยไม่โต้เถียงกันรับฟังได้ว่าเดิมบิดามารดาของโจทก์จำเลยมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดที่พิพาทภายหลังจากบิดาโจทก์ตายแล้ว มารดาโจทก์ยกที่พิพาทในส่วนที่แต่เดิมบิดามารดาโจทก์ครอบครองอยู่ทั้งหมดให้แก่โจทก์แต่ผู้เดียว โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินที่บิดามารดาโจทก์เคยครอบครองทำประโยชน์อยู่ก่อนตลอดมา ซึ่งจำเลยกับนางแฉล้มพยานจำเลยและเป็นน้องจำเลยเบิกความยอมรับว่า โฉนดที่พิพาทแบ่งการครอบครองเป็น 5 แปลง โจทก์และฝ่ายจำเลยกับผู้มีชื่อในโฉนดที่พิพาทปัจจุบัน ต่างรับโอนที่ดินในส่วนที่เดิมบิดามารดาของตนครอบครองมา แบ่งกันทำประโยชน์เป็นส่วนสัดตามเขตที่ปรากฏในแผนที่สังเขปท้ายฟ้องมากว่า 10 ปีแล้ว รวมทั้งทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยลงชื่อในแผนที่พิพาทยอมรับว่า โจทก์จำเลยและผู้มีชื่อในโฉนดที่พิพาทได้ครอบครองทำประโยชน์เป็นส่วนสัดตามเขตที่ปรากฏในแผนที่พิพาท ดังนี้รูปคดีจึงน่าเชื่อตามหลักฐานของโจทก์ว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามแผนที่พิพาทแปลงหมายเลข 1 และเลข 5 โดยได้รับการยกให้จากมารดาโจทก์ และโจทก์ได้ครอบครองมาโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของกว่า 10 ปีแล้ว ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่ามีชื่อโจทก์ จำเลย นายหล่ำ และนายทองม้วน ในโฉนดที่พิพาทแต่ความจริงแล้วยังมีชื่อนายหริ่ม ในโฉนดที่พิพาทด้วยข้อเท็จจริงทางพิจารณาแตกต่างไปจากฟ้อง แสดงว่าไม่มีการครอบครองปรปักษ์ในระหว่างผู้มีชื่อในโฉนดที่พิพาทตามฟ้องนั้น เห็นว่าได้ความจากจำเลยว่า นายหริ่ม บวชเป็นพระภิกษุไม่เคยครอบครองที่ดินส่วนไหนในโฉนดที่พิพาท และได้ยกกรรมสิทธิ์ส่วนของตนให้แก่จำเลยก่อนโจทก์ฟ้องปรากฏตามเอกสารหมาย ล.3 นายหริ่มมีชื่อในโฉนดที่พิพาทก็เพราะเป็นพี่จำเลย ได้รับมรดกที่พิพาทจากบิดามารดาเหมือนจำเลยดังนี้แม้จำเลยได้รับการยกให้ที่ดินในส่วนที่นายหริ่มมีสิทธิในโฉนดที่พิพาทก็หาเกี่ยวกับที่พิพาทในส่วนของโจทก์ที่ได้รับการยกให้จากมารดาโจทก์ และโจทก์ครอบครองทำประโยชน์มากว่า 10 ปีไม่ข้อเท็จจริงที่ได้ความในทางพิจารณาจึงไม่แตกต่างไปจากขณะโจทก์ฟ้องหรือทำให้ฟ้องเสียไปแต่อย่างใด เมื่อจำเลยคัดค้านการแบ่งแยกโฉนดที่พิพาท ย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โจทก์มีอำนาจฟ้องได้ด้วยเหตุดังได้วินิจฉัยมา ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน