คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9890-9891/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันยักยอกทรัพย์มรดกของ ล. เจ้ามรดก โดยโจทก์ร่วมซึ่งเป็น ผู้จัดการมรดก เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ตามฟ้องโจทก์ดังกล่าวโจทก์ร่วมได้รับความเสียหายในฐานะที่โจทก์ร่วมเป็นเจ้าของทรัพย์รวมอยู่ด้วย แม้ฟ้องโจทก์ระบุว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้จัดการมรดกก็เป็นเพียงระบุถึงสถานะของโจทก์ร่วมเท่านั้น มิได้หมายความว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายในฐานะที่เป็นผู้จัดการมรดกของ ล. ทั้งตามบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของโจทก์ร่วมก็กล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งสี่ยักยอกทรัพย์ของโจทก์ร่วมไป โดยระบุรายละเอียดว่าโจทก์ร่วมได้ทรัพย์แต่ละรายการมาอย่างไร และให้การเพิ่มเติมภายหลังว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นของโจทก์ร่วมกึ่งหนึ่ง อันเป็นการแสดงว่าโจทก์ร่วมแจ้งความร้องทุกข์โดยได้รับความเสียหายในฐานะเป็นเจ้าของทรัพย์หรือเจ้าของรวม เป็นการแจ้งความในฐานะส่วนตัว มิใช่ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ล. ดังนั้นข้ออุทธรณ์ของโจทก์ร่วมที่ว่า เมื่อฟังว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว ศาลชอบที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสี่ได้ตามฟ้องโดยไม่จำต้องเป็นเจ้าของหรือเจ้าของรวมในทรัพย์ของกลาง จึงเป็นข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ เรียกโจทก์ร่วมทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ร่วม เรียกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในสำนวนแรกว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 และเรียกจำเลยในสำนวนหลังว่า จำเลยที่ 4
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 352 และให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยักยอกไปเป็นเงิน 334,600 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางวิภา ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ทั้งสองสำนวน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ โจทก์ร่วมอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์ร่วมข้อ 2 ในส่วนที่โจทก์ร่วมอ้างว่า คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยเหตุผล เนื่องจากทรัพย์ของกลางตามฟ้องเป็นทรัพย์มรดกของนายเล็กที่ยังไม่ได้แบ่ง ซึ่งตามกฎหมายโจทก์ร่วมในฐานะผู้จัดการมรดกสามารถนำมาจัดการเพื่อประโยชน์ของกองมรดกและหากทรัพย์มรดกถูกบุคคลใด เบียดบังเอาไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้จัดการมรดกย่อมอยู่ในฐานะผู้เสียหายที่สามารถแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิดนั้นได้ หาใช่จะถือเอาเพียงเหตุความเป็นเจ้าของในทรัพย์มรดกนั้นเพียงประเภทเดียวดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้ไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย จึงให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมเฉพาะข้อ 2 ในเรื่องดังกล่าวไว้ดำเนินการต่อไป
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อกฎหมายดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ทั้งไม่ใช่ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือที่เกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้ พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ร่วม
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า ที่ศาลอุทธรณ์ยกอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันยักยอกทรัพย์ที่เป็นทรัพย์มรดกของนายเล็ก เจ้ามรดก ซึ่งนางวิภาผู้เสียหาย ผู้จัดการมรดก เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ซึ่งตามฟ้องโจทก์ โจทก์ร่วมได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยทั้งสี่ในฐานะที่โจทก์ร่วม เป็นเจ้าของทรัพย์รวมอยู่ด้วยเท่านั้น แม้ฟ้องโจทก์ระบุว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้จัดการมรดกก็เป็นเพียงระบุถึงสถานะของโจทก์ร่วมเท่านั้น มิได้หมายความว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายในฐานะที่เป็นผู้จัดการมรดกของนายเล็ก ทั้งตามบันทึกคำให้การของโจทก์ร่วมที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนในฐานะผู้กล่าวหา ก็กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสี่ยักยอกทรัพย์ของโจทก์ร่วมไป โดยมีการระบุรายละเอียดของทรัพย์สินทั้งหมดว่าโจทก์ร่วมได้ทรัพย์แต่ละรายการมาอย่างไร แม้จะให้การในรายละเอียดต่อมาว่าโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกและศาลมีคำสั่งตั้งโจทก์ร่วมเป็นผู้จัดการมรดก โจทก์ร่วมขอทรัพย์คืนจากจำเลยทั้งสี่ แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ให้ อ้างว่าเป็นทรัพย์มรดกที่อยู่ในระหว่างการคัดค้านการตั้งผู้จัดการมรดก แต่ก็เป็นการให้การถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น ในบันทึกคำให้การเพิ่มเติมของโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมก็ยังให้การว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นของโจทก์ร่วมกึ่งหนึ่ง อันเป็นการแสดงว่าโจทก์ร่วมแจ้งความร้องทุกข์โดยได้รับความเสียหายในฐานะเป็นเจ้าของทรัพย์หรือเจ้าของรวม ดังนี้โจทก์ร่วมจึงแจ้งความในฐานะส่วนตัว มิใช่ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายเล็ก ส่วนที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า โจทก์ร่วมนำสืบแล้วว่าโจทก์ร่วมแจ้งความร้องทุกข์ในฐานะเป็นผู้จัดการมรดก นำสืบแสดงพยานหลักฐานปรากฏชัดแจ้งว่า โจทก์ร่วมได้ดำเนินการบังคับคดีเพื่อรวบรวมทรัพย์มรดกตามคำพิพากษาศาลแพ่งธนบุรีและทราบว่าทรัพย์ของกลางถูกจำเลยทั้งสี่ยักยอกไป จากนั้นโจทก์ร่วมแจ้งความร้องทุกข์ไว้นั้น เห็นว่า ที่โจทก์ร่วมอ้างดังกล่าวเป็นคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ตั้งโจทก์ร่วมเป็นผู้จัดการมรดก คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่โจทก์ร่วมฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลยทั้งสี่ รายงานการยึดทรัพย์สินของเจ้าพนักงานบังคับคดีและรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานเกี่ยวกับการยึดทรัพย์ ตามลำดับ โดยไม่ปรากฏเอกสารที่โจทก์ร่วมในฐานะผู้จัดการมรดกแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสี่ในข้อหายักยอก ข้ออ้างตามฎีกาของโจทก์ร่วมรับฟังไม่ได้ ข้อเท็จจริงรับฟังว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะที่โจทก์ร่วมเป็นเจ้าของรวมในทรัพย์ที่จำเลยทั้งสี่ถูกกล่าวหาว่ายักยอกไปและโจทก์ร่วมแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีในข้อหายักยอกแก่จำเลยทั้งสี่ในฐานะส่วนตัว มิได้ฟ้องหรือแจ้งความร้องทุกข์ในฐานะที่โจทก์ร่วมเป็นผู้จัดการมรดกของนายเล็ก ดังนี้ อุทธรณ์ของโจทก์ร่วมที่อ้างว่า เมื่อฟังได้ว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว ศาลชอบที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสี่ได้ตามฟ้อง โดยไม่จำต้องเป็นเจ้าของหรือเจ้าของรวมในทรัพย์ของกลางนั้น จึงเป็นข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมและยกอุทธรณ์จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share