แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ไม่ได้บรรยายมาในคำฟ้องว่าจำเลยเคยกระทำผิดและศาลพิพากษาลงโทษจำคุกแต่ให้รอการลงโทษไว้ และมิได้ขอให้นำโทษที่รอไว้นั้นมาบวกเข้ากับคดีนี้ แต่ปรากฏตามรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยของพนักงานคุมประพฤติว่า ก่อนคดีนี้จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก แต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้และภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดให้รอการลงโทษจำเลยนั้น จำเลยได้กระทำผิดอีก ดังนั้นเมื่อศาลพิพากษาคดีนี้ถึงจำคุก ศาลจึงต้องนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับคดีนี้ตามที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 วรรคหนึ่งบัญญัติไว้ โดยไม่จำต้องให้โจทก์บรรยายหรือมีคำขอมาในฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2539 เวลากลางวัน จำเลยกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยมีกัญชาแห้งอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 จำนวน 48 ถุง น้ำหนักสุทธิ 932.79 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยมีกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 11 นัด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7,8, 26, 76, 102 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 26 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคสอง, 102 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,72 วรรคสอง เป็นการกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก 2 ปี ฐานมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับ 2,200 บาทรวมจำคุก 2 ปี และปรับ 2,200 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 1 ปี และปรับ 1,100 บาท ตามรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยของพนักงานคุมประพฤติ สำนักงานคุมประพฤติจังหวัดสุราษฎร์ธานีว่า ก่อนคดีนี้จำเลยเคยต้องโทษจำคุก 3 เดือน และปรับ 2,000 บาท และจำคุก 1 ปี และปรับ 10,000 บาท โดยรอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ทั้งสองคดีตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 517/2537 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1178/2538 ของศาลชั้นต้น และภายในเวลาที่ศาลรอการลงโทษดังกล่าว จำเลยกลับมากระทำความผิดคดีนี้ ซึ่งศาลชั้นต้นได้แจ้งรายงานการสืบเสาะให้จำเลยทราบแล้วและจำเลยไม่ค้าน แม้โจทก์มิได้มีคำขอให้บวกโทษที่รอไว้ดังกล่าวเข้ากับโทษคดีนี้ด้วย แต่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เมื่อความปรากฏแก่ศาลเองหรือความปรากฏตามคำแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานว่า ภายในเวลาที่ศาลกำหนดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาได้กระทำความผิดอันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษและศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิดนั้น ให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังกำหนดโทษที่รอการกำหนดไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลังหรือบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลังแล้วแต่กรณี ดังนั้นจึงบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 517/2537 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1178/2538 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษคดีนี้เป็นจำคุก 2 ปี 3 เดือน และปรับ 1,100 บาท ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ไม่นำโทษที่รอไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับคดีนี้ และขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่ศาลล่างทั้งสองนำโทษจำคุกที่จำเลยจะได้รับแต่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ โดยโจทก์มิได้บรรยายและมีคำขอมาในฟ้องนั้น เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า”เมื่อความปรากฏแก่ศาลเองหรือความปรากฏตามคำแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานว่าภายในเวลาที่ศาลกำหนดตามมาตรา 56 ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาได้กระทำความผิดอันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษและศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิดนั้นให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังกำหนดโทษที่รอการกำหนดไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลัง หรือบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลังแล้วแต่กรณี” คดีนี้โจทก์ไม่ได้บรรยายมาในคำฟ้องว่าจำเลยเคยกระทำผิดและศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกแต่ศาลให้รอการลงโทษไว้ และมิได้ขอให้นำโทษที่รอไว้นั้นมาบวกเข้ากับคดีนี้ แต่ปรากฏตามรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยของพนักงานคุมประพฤติว่า ก่อนคดีนี้จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ รวม 2 คดี คดีแรกจำคุก 3 เดือน และปรับ 2,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2537 คดีที่ 2 จำคุก 1 ปีและปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน2538 ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 517/2537 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1178/2538 ของศาลชั้นต้นทั้งสองกรณีตามลำดับ และภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลรอการลงโทษไว้ดังกล่าวจำเลยกลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีก ก่อนพิพากษาคดีศาลได้อ่านรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยของพนักงานคุมประพฤติให้จำเลยฟังแล้ว จำเลยไม่โต้แย้งคัดค้านว่ารายงานการสืบเสาะดังกล่าวไม่ถูกต้องแต่ประการใด ข้อเท็จจริงจึงปรากฏแก่ศาลตามรายงานของพนักงานคุมประพฤติซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายว่าก่อนคดีนี้จำเลยเคยกระทำผิดมาแล้วรวม 2 คดี ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกและปรับ แต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ทั้งสองคดีและภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดให้รอการลงโทษจำเลยไว้ทั้งสองคดีนั้น จำเลยได้กระทำผิดในคดีนี้อีก ดังนั้นเมื่อศาลพิพากษาคดีนี้ถึงจำคุก ศาลจึงต้องนำโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนทั้งสองคดีมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ตามที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 วรรคหนึ่งบัญญัติไว้ โดยไม่จำต้องให้โจทก์บรรยายหรือมีคำขอมาในคำฟ้อง จึงมิใช่กรณีพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องดังที่จำเลยอ้าง ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน