คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 64/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พยานโจทก์ทั้งสามไม่เคยมีสาเหตุกับจำเลยที่2มาก่อนเบิกความถึงพฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายอย่างสอดคล้องเชื่อมโยงกันกอปรด้วยเหตุผลและจำเลยที่2ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวนโดยสมัครใจคำรับสารภาพดังกล่าวย่อมใช้ยันจำเลยที่2ในชั้นพิจารณาได้และโจทก์ยังมีคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่1ที่ให้การว่าจำเลยที่2มีส่วนร่วมในการกระทำผิดซึ่งแม้จะเป็นคำซัดทอดของผู้กระทำผิดด้วยกันแต่ก็ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟังศาลมีอำนาจรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักเชื่อได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่2ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่1จริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2538 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนชนิดบรรจุหลอดแคปซูลจำนวน2,790 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 122.3 กรัม ชนิดบรรจุซองจำนวน 2 ซอง คิดเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 19.6 กรัม คราบเมทแอมเฟตามีนที่ติดอยู่กับหลอดแคปซูลจำนวน 3 ถุง ไม่อาจชั่งหาน้ำหนักได้คราบเมทแอมเฟตามีนที่ติดอยู่กับเครื่องอัดเม็ดยาพร้อมอุปกรณ์จำนวน 1 ชุด ไม่อาจชั่งหาน้ำหนักได้ คิดเป็นสารบริสุทธิ์รวม141.9 กรัม อันเป็นจำนวนเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยฝ่าฝืนกฎหมาย เหตุเกิดที่ตำบลหัวโพ อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรีเจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองพร้อมเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยทั้งสองมีไว้ดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ,62, 89, 106, 106 ทวิ, 116 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83ริบของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุข
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 2 ให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง,มาตรา 106, มาตรา 106 ทวิ, มาตรา 116 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ลงโทษจำคุกคนละ 20 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 ปีคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2มีกำหนด 13 ปี 4 เดือน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ริบของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุข
จำเลย ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่านายราชันย์ วรรณศิริ เจ้าพนักงานสำนักงาน ป.ป.ส. ได้รับแจ้งจากสายลับว่า จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นพี่น้องกันมีพฤติการณ์ร่วมผลิตเมทแอมเฟตามีนเพื่อขาย จำเลยที่ 2 จะเดินทางไปรับเครื่องอัดเม็ดยาเมทแอมเฟตามีนวันที่ 17 มกราคม 2538 โดยใช้รถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ สีขาว หมายเลขทะเบียน 4ท-3558 กรุงเทพมหานครจึงวางแผนจับกุม โดยให้นายสราวุธ ภักดี กับพวกดักรอจำเลยที่ 2ที่บริเวณสี่แยกดำเนินสะดวก ถนนเพชรเกษมส่วนนายราชันย์กับพวกไปอยู่ที่สี่แยกหัวโพ ถนนสายบางแพ-ดำเนินสะดวก วันที่ 18มกราคม 2538 เวลา 10.30 นาฬิกา นายสราวุธพบจำเลยที่ 2ขับรถยนต์กระบะตามที่ทราบล่วงหน้ามาพร้อมกับผู้หญิง 1 คน บรรทุกกระสอบใส่ของ 1 ใบ จึงแจ้งทางวิทยุสื่อสารให้นายราชันย์ทราบนายราชันย์กับพวกขึ้นรถยนต์ติดตามจำเลยที่ 2 ไปที่บ้านของจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยทั้งสองเดินทางต่อไปยังบ้านของจำเลยที่ 2ข้างบ่อกุ้งห่างจากบ้านจำเลยที่ 1 ประมาณ 500 เมตร จำเลยทั้งสองและนายทองดีคนงานเฝ้าบ่อกุ้งช่วยกันยกกระสอบซึ่งภายในบรรจุมอเตอร์และกรวยจากรถยนต์กระบะคันดังกล่าวเข้าบ้านจำเลยที่ 2ครั้นต่อมาวันที่ 20 มกราคม 2538 เวลาประมาณ 8 นาฬิกา นายราชันย์นายสราวุธกับพวกได้ร่วมกันค้นบ้านของจำเลยที่ 1 พบเมทแอมเฟตามีนบรรจุหลอดแคปซูลจำนวน 2,790 เม็ด โดยแบ่งบรรจุจำนวน 28 ถุงน้ำหนักรวมแคปซูล 867.2 กรัม ผงเมทแอมเฟตามีนสีส้มจำนวน 2 ถุงน้ำหนัก 425.4 กรัม แคปซูลเปล่ามีคราบเมทแอมเฟตามีนจำนวน3 ถุง แคปซูลเปล่าจำนวน 1 ถุง ถุงพลาสติก 1 กอง จึงยึดเป็นของกลางซึ่งของกลางทั้งหมดพบบริเวณพื้นข้างเตียงจำเลยที่ 1จากนั้นนายราชันย์ให้จำเลยที่ 1 พานายราชันย์และพวกไปค้นบ้านของจำเลยที่ 2 พบเครื่องอัดเม็ดยาจำนวน 1 เครื่อง มอเตอร์กรวย ตาชั่งจีน และสารเคมีชนิดผงสีขาวมีน้ำหนักประมาณ 200 กรัม1 ถุง ขณะเดียวกันจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์เข้ามาที่บ้านของจำเลยที่ 2จึงจับจำเลยทั้งสองในข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย และยึดสารเคมีและวัสดุอุปกรณ์ไว้เป็นของกลาง เมื่อพนักงานสอบสวนส่งของกลางทั้งหมดไปตรวจพิสูจน์ พบว่าผงสีส้มในแคปซูลและผงสีส้มในซองพลาสติกเป็นเมทแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเมทแอมเฟตามีนน้ำหนักไม่รวมแคปซูล 1,097.4 กรัมคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 141.9 กรัม ส่วนผงเคมีสีขาวตรวจไม่พบยาเสพติดและสารออกฤทธิ์ คราบผงสีส้มในแคปซูลและคราบผงสีส้มในเครื่องอัดเม็ดยาและคราบของเมทแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเมทแอมเฟตามีนตามรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมาย จ.9 จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวน
จำเลยทั้งสองนำสืบว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายตามฟ้องแต่ผู้เดียวจำเลยที่ 2 มิได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 2พักอาศัยอยู่กับบิดามารดาที่ตำบลบัวงาม อำเภอดำเนินสะดวกจังหวัดราชบุรี ส่วนจำเลยที่ 1 พักอาศัยอยู่กับครอบครัวที่ตำบลหัวโพ อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี จำเลยทั้งสองร่วมกันลงทุนทำบ่อกุ้งที่ตำบลหัวโพ วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 10 นาฬิกาจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์กระบะสีขาวหมายเลขทะเบียน 4ท-3558กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 2 มาที่บ่อกุ้ง พบเจ้าพนักงานหลายคนที่บ่อกุ้ง เจ้าพนักงานได้นำจำเลยที่ 2 เข้าไปค้นบ้านพักของคนงานที่ข้างบ่อกุ้ง พบจำเลยที่ 1 อยู่ภายในบ้านหลังนั้น เจ้าพนักงานแจ้งข้อหาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองจำเลยที่ 2 ให้การปฎิเสธ แต่เจ้าพนักงานข่มขู่ว่าถ้าไม่ให้การรับสารภาพ ก็จะจับภริยาจำเลยที่ 1 และคนทั้งตระกูล จำเลยที่ 2จึงยอมให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวน
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า วันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ โจทก์มีนายราชันย์และนายสราวุธเจ้าพนักงานสำนักงาน ป.ป.ส.ผู้จับกุมเป็นพยานเบิกความว่าเมื่อนายราชันย์ได้รับแจ้งจากสายลับว่า จำเลยทั้งสองมีพฤติการณ์ร่วมกันผลิตเมทแอมเฟตามีนเพื่อขายจำเลยที่ 2 จะเดินทางไปรับเครื่องอัดเม็ดยาวันที่ 17 มกราคม 2538โดยรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุสีขาว หมายเลขทะเบียน 4ท-3558กรุงเทพมหานคร จึงวางแผนจับกุมโดยให้นายสราวุธกับพวกไปดักรอรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ที่สี่แยกดำเนินสะดวก ถนนเพชรเกษมส่วนนายราชันย์กับพวกไปอยู่ที่สี่แยกหัวโพถนนบางแพ-ดำเนินสะดวก โดยใช้วิทยุสื่อสารติดต่อประสานงานกันเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2538 เวลา 10.30 นาฬิกา นายสราวุธพบรถยนต์ของจำเลยที่ 2 บรรทุกกระสอบ 1 ใบ แล่นผ่านถนนเพชรเกษมบริเวณสี่แยกดำเนินสะดวก จึงแจ้งทางวิทยุสื่อสารให้นายราชันย์ทราบแล้ว นายราชันย์ นายสราวุธกับพวกจึงติดตามจำเลยที่ 2ไป จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ไปที่บ้านของจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 2ขับรถยนต์พาจำเลยที่ 1 มาที่ข้างบ่อกุ้ง ห่างจากบ้านจำเลยที่ 1ประมาณ 500 เมตรแล้วจำเลยทั้งสองกับคนงานช่วยกันยกกระสอบลงจากท้ายรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ไปไว้ที่บ้านหลังหนึ่งข้างบ่อกุ้ง ซึ่งต่อมาทราบว่าเป็นบ้านของจำเลยที่ 2 แล้วจำเลยที่ 2 ก็ขับรถยนต์คันดังกล่าวออกจากบ้านหลังนั้น นายราชันย์ นายสราวุธกับพวกแอบซุ่มดูเหตุการณ์อยู่จนกระทั่งวันที่ 20 มกราคม 2538 เวลาประมาณ8 นาฬิกา จึงเข้าค้นบ้านของจำเลยที่ 1 พบผงเมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยที่ 1 มีไว้ในครอบครองเพื่อขาย ตามภาพถ่ายหมายจ.2 เมื่อจำเลยที่ 1 พามาค้นบ้านของจำเลยที่ 2 พบเครื่องอัดเม็ดยา1 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์ตามภาพถ่ายหมาย จ.1 จำเลยที่ 2 ได้เขียนบันทึกคำรับสภาพที่สำนักงาน ป.ป.ส ว่า จำเลยที่ 1 เป็นน้องชายจำเลยที่ 2 มีบ้านอยู่ห่างจากบ้านของจำเลยที่ 2 ประมาณ 500 เมตรได้ติดต่อให้จำเลยที่ 2 หาเครื่องอัดเม็ดยาเพื่อทำการอัดผงเมทแอมเฟตามีนเป็นเม็ดเพื่อขาย วันที่ 18 มกราคม 2538จำเลยที่ 2 เดินทางไปรับเครื่องอัดเม็ดยาโดยใช้รถยนต์กระบะของจำเลยที่ 2 บรรทุก เครื่องอัดเม็ดยาของกลางมาเก็บไว้ที่บ้านของจำเลยที่ 2 ตามบันทึกการรับสารภาพเอกสารหมาย จ.5และภาพถ่ายหมาย จ.6 จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนว่า ประมาณต้นเดือนธันวาคม 2537 จำเลยที่ 1 บอกจำเลยที่ 2ว่าจำเลยที่ 1 มีผงเมทแอมเฟตามีนและบรรจุในแคปซูลบ้างบางส่วนต้องการหาเครื่องอัดผงดังกล่าวเป็นเม็ด เนื่องจากบรรจุแคปซูลนำไปขายแล้วไม่มีลูกค้าต้องการซื้อ จำเลยที่ 2 จึงตกลงกับจำเลยที่ 1ในการหาเครื่องอัดเม็ดยามาเพื่ออัดผงดังกล่าวเป็นเม็ดมาขายแบ่งกำไรกัน ต่อมาจำเลยที่ 2 จึงเดินทางไปรับเครื่องอัดเม็ดยาของกลางมาไว้ที่บ้านของจำเลยที่ 2 ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมายจ.11 โดยโจทก์มีร้อยตำรวจโทสมจิตร ตำปาน พนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความสนับสนุน เห็นว่าพยานโจทก์ทั้งสามไม่เคยมีสาเหตุกับจำเลยที่ 2 มาก่อน เบิกความสอดคล้องเชื่อมโยงกันกอปรด้วยเหตุผลเชื่อว่าพยานโจทก์เหล่านั้นเบิกความตามความจริง และจำเลยที่ 2ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวนโดยสมัครใจ ดังนี้คำรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ในชั้นจับกุมและสอบสวนดังกล่าวย่อมใช้ยันจำเลยที่ 2 ในชั้นพิจารณาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 134, 226 นอกจากนี้โจทก์มีคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1ซึ่งให้การต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2538 ว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมในกากระทำผิด โดยเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2537จำเลยที่ 1 แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบว่า จะทำการอัดผงเมแอมเฟตามีนซึ่งจำเลยที่ 1 เก็บรักษาไว้ที่บ้านให้เป็นเม็ด และจำเลยที่ 2ตกลงจะทำการอัดเม็ดดังกล่าว ต่อมาจำเลยที่ 2 เดินทางไปรับเครื่องอัดเม็ดยาของกลางที่จำเลยที่ 1 ซื้อไว้มาเก็บรักษาไว้ที่บ้านของจำเลยที่ 2 ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.10 แม้คำให้การดังกล่าวจะเป็นคำซัดทอดของผู้กระทำผิดด้วยกัน แต่ก็ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟังคำให้การเช่นว่านั้นแต่อย่างไร ศาลมีอำนาจรับฟังคำซัดทอดของจำเลยที่ 1 ประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ที่นำสืบได้ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวนด้วยความสมัครใจ แต่ให้การรับสารภาพเพราะถูกเจ้าพนักงานข่มขู่ว่าจะจับภริยาของจำเลยที่ 1มาดำเนินคดีนั้นเห็นว่า ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว เป็นข้อต่อสู้ที่เลื่อนลอยปราศจากพยานหลักฐานสนับสนุนรับฟังเป็นความจริงไม่ได้ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงเชื่อได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองสถานเบานั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 106 ทวิและประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 85 (พ.ศ. 2536) ลงวันที่19 มกราคม พ.ศ. 2536 ซึ่งใช้ในขณะจำเลยทั้งสองกระทำผิดกำหนดว่าปริมาณวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 หรือ 2 ที่เกิน 0.500 กรัม มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี ของกลางคดีนี้มีน้ำหนักไม่รวมแคปซูล 1,097.4 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ถึง 141.9 กรัมที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองมานั้นเหมาะสมแก่ความผิดแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share