คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 989/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยเพิ่งมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานกิจการญวณอพยพจังหวัด อุบลราชธานี ภายหลังจากได้มีการจดแจ้งชื่อโจทก์ลงในทะเบียนบ้านคนญวนอพยพแล้วก็ตาม แต่ฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์มีสาระสำคัญขอให้จำเลยซึ่งเป็นหัวหน้าสำนักงานกิจการญวนอพยพจังหวัด อุบลราชธานี คนปัจจุบันถอนชื่อโจทก์ออกจากทะเบียนบ้านคนญวนอพยพ เพราะลงชื่อไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้จำเลยจะมิใช่ผู้จดแจ้งชื่อโจทก์ไว้ในทะเบียน โจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง การที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่เคยไปติดต่อจำเลยให้ถอนชื่อโจทก์ออกจากทะเบียนคนญวนอพยพก่อนฟ้องโดยไม่ได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การนั้น แม้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาก็ไม่เห็นสมควรวินิจฉัยให้ พ. คนสัญชาติไทยอยู่กินฉันสามีภรรยากับโจทก์ที่ 1คนสัญชาติญวนซึ่งเกิดในประเทศ ไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2509โดยมิได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย ให้กำเนิดโจทก์ที่ 2 เมื่อปีพ.ศ. 2510 ต่อมา พ.ศ. 2512 พ. และโจทก์ที่ 1 จึงได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย โจทก์ที่ 2 ไม่ใช่บุคคลที่ถูกถอนสัญชาติตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ข้อ 1เพราะโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นมารดา ไม่ใช่บุคคลตามข้อ 1(1)(2) และ(3) ตามประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายง้วมกับนางวิน แซ่เลียด คนต่างด้าว สัญชาติญวน โจทก์ที่ 1 เกิดในราชอาณาจักรไทย จึงเป็นคนสัญชาติไทย โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายไพบูลย์ เฉลิมพร คนสัญชาติไทยกับโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 จึงเป็นคนสัญชาติไทย เมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2519 จำเลยอ้างว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นคนต่างด้าวแล้วจำเลยเพิ่มชื่อโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 ลงในทะเบียนบ้านคนญวนอพยพเลขที่ 111 หมู่ที่ 6 ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อโจทก์ที่ 5 เกิดมาจำเลยก็อ้างว่าโจทก์ที่ 5เป็นคนต่างด้าวและเพิ่มชื่อโจทก์ที่ 5 ลงในทะเบียนบ้านคนญวนอพยพดังกล่าว การกระทำของจำเลยนั้นถือว่าจำเลยได้โต้แย้งสิทธิเรื่องสัญชาติของโจทก์ทั้งห้า ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ทั้งห้าเป็นคนสัญชาติไทย ให้จำเลยถอนชื่อโจทก์ทั้งห้าออกจากทะเบียนบ้านคนญวนอพยพดังกล่าว
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งห้าไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ที่ 2ถึงที่ 5 เป็นบุตรโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นคนต่างด้าวสัญชาติญวนที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองและได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเพียงชั่วคราวโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 จึงต้องถูกถอนสัญชาติตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นบุคคลสัญชาติไทยให้จำเลยถอนชื่อโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ออกจากทะเบียนบ้านคนญวนอพยพตามฟ้อง ให้ยกฟ้องสำหรับโจทก์ที่ 1
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ที่ 1 เป็นคนสัญชาติญวนเกิดในราชอาณาจักรไทยเป็นภรรยาของนายไพบูลย์คนสัญชาติไทย มีบุตรด้วยกันเกิดในประเทศไทย 4 คน คือโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ซึ่งยังเป็นผู้เยาว์นายไพบูลย์เป็นผู้ดำเนินคดีแทนโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 และคดีระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ว่าโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่าแม้จะได้ความว่าจำเลยเพิ่งมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานกิจการญวนอพยพ จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่1 ธันวาคม 2526 ภายหลังจากที่ได้มีการจดแจ้งชื่อโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ลงในทะเบียนคนญวนอพยพแล้วก็ตาม แต่ตามฟ้องและคำขอท้ายฟ้องโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 มีสาระสำคัญขอให้จำเลยซึ่งเป็นหัวหน้าสำนักงานกิจการญวนอพยพ จังหวัดอุบลราชธานีคนปัจจุบัน ถอนชื่อโจทก์ที่ 2ถึงที่ 5 ออกจากทะเบียนคนญวนอพยพ เพราะการลงชื่อโจทก์ที่ 2ถึงที่ 5 ไว้ในทะเบียนดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นแม้จำเลยจะมิใช่ผู้ที่จดแจ้งชื่อโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ไว้ในทะเบียนนั้นโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ก็มีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ส่วนฎีกาของจำเลยที่ว่า ไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ไปติดต่อกับจำเลยให้ถอนชื่อโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ออกจากทะเบียนคนญวนอพยพก่อนฟ้องคดีโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้นี้ไว้ในคำให้การ แม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาก็ไม่เห็นสมควรวินิจฉัยให้ ตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาที่ว่า โจทก์ที่ 2 จะต้องถูกถอนสัญชาติไทย ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ข้อ 1หรือไม่ ปัญหานี้แม้นายไพบูลย์คนสัญชาติไทยอยู่กินฉันสามีภรรยากับโจทก์ที่ 1 คนสัญชาติญวนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2509 โดยมิได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย และให้กำเนิดโจทก์ที่ 2 เมื่อปี พ.ศ.2510 ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2512 นายไพบูลย์และโจทก์ที่ 1 จึงได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายก็ตาม เห็นว่า โจทก์ที่ 2 ไม่ใช่บุคคลที่จะถูกถอนสัญชาติตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ลงวันที่13 ธันวาคม 2515 ข้อ 1 เพราะโจทก์ที่ 1 ไม่ใช่บุคคลตามข้อ 1(1) (2)และ (3) ตามประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าว ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน.

Share