คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 985/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยใช้แขนล็อกคอผู้เสียหายด้านหลังแล้วลากผู้เสียหายไปที่คูน้ำข้างถนนกดตัวผู้เสียหายลงไปในน้ำจนมิดศีรษะทำให้ผู้เสียหายหมดสติ ซึ่งจากการตรวจร่างกายผู้เสียหาย ปรากฏว่าปอดอักเสบเนื่องจากสำลักน้ำ โดยแพทย์ให้ความเห็นว่าคนที่สำลักน้ำหายใจเอาอากาศเข้าไปไม่ได้ หากไม่ได้หายใจภายใน 5 นาที จะถึงแก่ความตาย ถ้าถูกกดน้ำหายใจไม่ออกไม่ถึง 5 นาที จะมีผลต่อปอดและขาดโลหิตไปหล่อเลี้ยงสมองทำให้ไม่รู้สึกตัว และทำให้ถุงลมเสียสมรรถภาพในการแลกเปลี่ยนอากาศ ซึ่งกรณีของผู้เสียหายมีผลทางสมองเล็กน้อย แต่ปอดนั้นสูญเสียสมรรถภาพของถุงลมไม่สามารถแลกเปลี่ยนอากาศได้เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจประมาณ 1 สัปดาห์ ดังนั้น การที่จำเลยกดหน้าผู้เสียหายลงไปในคูน้ำเป็นเวลานานจำเลยย่อมเล็งเห็นผลว่าอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย เมื่อจำเลยลงมือกระทำความผิดไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผล เนื่องจากผู้เสียหายเพียงแต่หมดสติไปชั่วขณะไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
การที่จำเลยจับผู้เสียหายกดน้ำจนหมดสติ อันเป็นการกระทำผิดฐานพยายามฆ่าสำเร็จขาดตอนไปแล้ว จำเลยจึงอุ้มผู้เสียหายขึ้นรถยนต์ของจำเลย ซึ่ง ก. ได้ตามมาพูดขอตัวผู้เสียหายเพื่อนำไปส่งโรงพยาบาล แต่จำเลยไม่ยอมคืนให้ จึงเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหาย ซึ่งมีเจตนาต่างหากอีกกรรมหนึ่ง หลังจากผู้เสียหายรู้สึกตัวแล้วเปิดประตูรถยนต์ที่จำเลยกำลังขับทิ้งตัวลงบนถนนเพื่อหลบหนี จำเลยจอดรถวิ่งไล่ตามแล้วกระชากผมผู้เสียหายลากเข้าไปที่พงหญ้าแล้วกระชากเสื้อผู้เสียหายหลุดออก เห็นสร้อยคอพร้อมพระเลี่ยมทองจึงกระชากมาเป็นของตน อันเป็นการกระทำผิดฐานชิงทรัพย์อีกกรรมหนึ่ง ต่อจากนั้นจำเลยดึงกางเกงของผู้เสียหายหลุดออกผู้เสียหายบอกจำเลยว่าเป็นโรคเอดส์ จำเลยมีอาการลังเล ผู้เสียหายจึงลุกขึ้นวิ่งหนีไปอันเป็นการกระทำฐานอนาจารผู้เสียหายอีกกรรมหนึ่ง เมื่อการกระทำผิดของจำเลยดังกล่าวกระทำด้วยเจตนาต่างกันในช่วงเวลาที่ต่างกัน แม้จะกระทำต่อเนื่องกันแต่ได้กระทำความผิดแต่ละฐานหลังจากกระทำความผิดฐานหนึ่งเสร็จสิ้นแล้ว จึงเป็นการกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้แขนของจำเลยรัดคอนางสาวจารุวรรณ สุวรรณภัฏผู้เสียหาย ทางด้านหลังจนผู้เสียหายตกลงไปในคูน้ำข้างทาง จำเลยกดตัวผู้เสียหายลงน้ำใช้กำปั้นของจำเลยชกต่อยที่หน้าของผู้เสียหายหลายครั้ง และใช้มือของจำเลยกดศีรษะของผู้เสียหายให้จมลงไปในน้ำเป็นเวลานาน ของเหลวเข้าไปปิดกั้นเนื้อเยื่อถุงลม ทำให้ไม่สามารถแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนได้จนผู้เสียหายหมดสติ ทั้งนี้โดยจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายให้ตายเพื่อความสะดวกในการที่จะชิงทรัพย์ของผู้เสียหาย จำเลยลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจากผู้เสียหายเพียงแต่หมดสติไปชั่วขณะ ผู้เสียหายจึงไม่ตายสมดังเจตนาของจำเลย แต่ได้รับอันตรายสาหัสป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวันหรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน แล้วจำเลยลักเอาสร้อยคอนาค 1 เส้น และพระเลี่ยมทองคำ 1 องค์ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต และโดยใช้กำลังประทุษร้ายดังกล่าวข้างต้นเพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์ การพาทรัพย์นั้นไป ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ ปกปิดการกระทำความผิดนั้นและเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ภายหลังจากที่จำเลยกระทำความผิดดังกล่าวแล้ว จำเลยหน่วงเหนี่ยวและกระทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกายโดยจำเลยอุ้มร่างของผู้เสียหายซึ่งยังคงหมดสติอยู่ขึ้นรถยนต์กระบะที่จำเลยขับมาจากจุดเกิดเหตุถนนบางบอน 3 ไป จนถึงถนนพุทธมณฑลสาย 2 ขณะที่จำเลยอุ้มร่างของผู้เสียหายไปนั้น มีเพื่อนของผู้เสียหายพบเห็นการกระทำของจำเลยและขับรถจักรยานยนต์ติดตามขอตัวผู้เสียหายคืน แต่จำเลยไม่ยอมคืนให้ ภายหลังจากที่จำเลยกระทำความผิดดังกล่าวข้างต้นแล้ว จำเลยกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหาย อายุ 17 ปีเศษ โดยใช้กำลังประทุษร้าย ใช้กำลังกายดึงเสื้อ กางเกง และกางเกงชั้นในของผู้เสียหายออกจนหมดเหลือเพียงแต่เสื้อชั้นในเพียงตัวเดียวแล้วจับผู้เสียหายให้นอนหงาย ทั้งนี้โดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้และไม่ยินยอม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33, 80, 90, 91, 278, 289(6), 310, 339 ริบเสื้อที่จำเลยสวมใส่ในวันเกิดเหตุของกลาง คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนคิดเป็นเงิน 3,100 บาท แก่ผู้เสียหาย และคืนเสื้อ กางเกง กางเกงชั้นใน และรองเท้าที่ผู้เสียหายสวมใส่ในวันเกิดเหตุของกลางแก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288ประกอบมาตรา 80 มาตรา 278, 310 วรรคหนึ่ง, 339 วรรคสอง การกระทำของจำเลยมีความผิด 4 กระทง ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ลงโทษฐานพายามฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80จำคุก 10 ปี ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง จำคุก 1 ปี ฐานกระทำอนาจาร จำคุก 1 ปี และฐานชิงทรัพย์ จำคุก 10 ปี รวมจำคุก 22 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เมื่อสืบผู้เสียหายพยานโจทก์ไปหนึ่งปากแล้ว ในการนำสืบพยานโจทก์ปากต่อมา จำเลยก็ยังคงซักค้านพยานโจทก์ปกติเช่นเดียวกับคดีให้การปฏิเสธซึ่งเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง เห็นสมควรลดโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสี่คงจำคุก 16 ปี 6 เดือน ริบเสื้อที่จำเลยสวมใส่ในวันเกิดเหตุ คืนเสื้อ กางเกง กางเกงในรองเท้า กับให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 3,100 บาท แก่ผู้เสียหายคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนเสื้อของจำเลยของกลางแก่จำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความถึงเหตุการณ์ขณะที่จำเลยกดผู้เสียหายจมน้ำว่า จำเลยเข้ามาใช้แขนล็อกคอผู้เสียหายทางด้านหลังแล้วลากผู้เสียหายลงไปที่คูน้ำข้างถนน และกดหัวผู้เสียหายลงไปในน้ำ ผู้เสียหายดิ้นรนต่อสู้ จำเลยต่อยปากผู้เสียหายแล้วกดตัวผู้เสียหายลงไปในน้ำจนมิดศีรษะจนผู้เสียหายหมดสติและนายแพทย์มโนชญ์ สุวรรณศรี ตรวจร่างกายผู้เสียหายแล้วปรากฏว่าปอดอักเสบเนื่องจากสำลักน้ำ โดยคนที่สำลักน้ำหายใจเอาอากาศเข้าไปไม่ได้ ถ้าไม่ได้หายใจภายใน 5 นาทีจะถึงแก่ความตาย ถ้าถูกกดน้ำหายไม่ออกไม่ถึง 5 นาที จะมีผลต่อปอดและขาดโลหิตไปหล่อเลี้ยงสมองทำให้ไม่รู้สึกตัว และทำให้ถุงลมเสียสมรรถภาพในการแลกเปลี่ยนอากาศ โดยผู้เสียหายนั้นมีผลทางสมองเล็กน้อย แต่ปอดนั้นสูญเสียสมรรถภาพของถุงลมไม่สามารถแลกเปลี่ยนอากาศได้เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ต้องรักษาด้วยการใช้เครื่องหายใจประมาณ 1 สัปดาห์ เมื่อพิจารณาคำเบิกความของผู้เสียหายกับนายแพทย์มโนชญ์ประกอบรายงานการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องแล้ว เห็นว่า ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายจนสลบ มีอาการปอดอักเสบทั้งสองข้าง มีปฏิกิริยาของของเหลวปิดกั้นเยื่อถุงลม ทำให้ไม่สามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยกดหน้าของผู้เสียหายจมน้ำจนหมดสติ มิใช่ผู้เสียหายตกลงไปในคูน้ำข้างถนนแล้วร้องตะโกนให้คนช่วย จำเลยจึงใช้มืออุดปากผู้เสียหายเพื่อไม่ให้ร้องแล้วอุ้มผู้เสียหายขึ้นรถยนต์กระบะของจำเลยดังที่จำเลยนำสืบ การที่จำเลยกดหน้าของผู้เสียหายลงไปในคูน้ำเป็นเวลานานนั้น จำเลยย่อมเล็งเห็นผลว่าอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย ซึ่งจำเลยลงมือกระทำความผิดไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผล เนื่องจากผู้เสียหายเพียงแต่หมดสติไปชั่วขณะ ไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย จึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย ที่ศาลล่างทั้งสองศาลพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสองว่า การกระทำผิดของจำเลยเป็นการกระทำผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน เห็นว่า แม้การกระทำความผิดของจำเลยจะกระทำต่อเนื่องกัน แต่ข้อเท็จจริงที่ฟังยุติได้ความว่า จำเลยจับผู้เสียหายกดน้ำจนหมดสติ อันเป็นการกระทำผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายสำเร็จขาดตอนไปแล้ว จำเลยจึงอุ้มผู้เสียหายขึ้นรถยนต์กระบะของจำเลย นายโกสินธุ์ขับรถจักรยานยนต์ตามมาพูดขอผู้เสียหายคืนเพื่อนำไปส่งโรงพยาบาลเอง จำเลยก็ไม่ยอมคืออันเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหาย ซึ่งเป็นการกระทำโดยมีเจตนาต่างหากอีกกรรมหนึ่ง หลังจากผู้เสียหายรู้สึกตัวแล้วเปิดประตูรถยนต์กระบะที่จำเลยขับทิ้งตัวลงที่ถนนแล้วลุกขึ้นวิ่งหนี จำเลยจอดรถวิ่งไล่ตามทันผู้เสียหาย แล้วกระชากผมของผู้เสียหายลากเข้าไปที่พงหญ้าข้างทางกดตัวผู้เสียหายลงกับพื้นพร้อมทั้งกระชากเสื้อของผู้เสียหายหลุดออก เห็นสร้อยคอนาคพร้อมพระเลี่ยมทอง 1 องค์ จึงกระชากเอามาเป็นของตน อันเป็นการกระทำผิดฐานชิงทรัพย์อีกกรรมหนึ่ง ต่อจากนั้นจำเลยดึงกางเกงขาสั้นพร้อมกางเกงชั้นในของผู้เสียหายหลุดออก ผู้เสียหายบอกจำเลยว่าผู้เสียหายเป็นโรคเอดส์ จำเลยมีอาการลังเล แล้วผู้เสียหายลุกขึ้นวิ่งหนีเข้าไปในพงหญ้าอันเป็นการกระทำผิดฐานอนาจารผู้เสียหายอีกกรรมหนึ่ง เมื่อการกระทำความผิดของจำเลยดังกล่าวกระทำด้วยเจตนาต่างกันในช่วงเวลาที่ต่างกัน แม้จะกระทำต่อเนื่องกันแต่ได้กระทำความผิดแต่ละฐานหลังจากกระทำความผิดฐานหนึ่งเสร็จสิ้นแล้ว จึงเป็นการกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายว่า กรณีสมควรลดโทษให้จำเลยเพียงใดนั้น เห็นว่า จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน แม้จำเลยจะให้การปฏิเสธในชั้นศาลแล้วถอนคำให้การเดิมเป็นให้การรับสารภาพตลอดข้อหาแล้วนำสืบทำนองปฏิเสธในข้อหาพยายามฆ่าผู้เสียหาย แต่คำให้การรับสารภาพและการนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอย่างมาก สมควรลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ที่ศาลล่างทั้งสองลดโทษให้ จำเลยเพียงหนึ่งในสี่นั้นน้อยไป ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดโทษให้จำเลยทุกฐานความผิดลงหนึ่งในสาม คงจำคุก14 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share