คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 981/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

แม้ไม่มีระเบียบห้ามคณะกรรมการของสหกรณ์ลงมติให้กรรมการผู้รับมอบอำนาจลงลายมือชื่อในเอกสารเบิกเงินไว้ล่วงหน้าก็ถือได้เพียงว่าจำเลยมิได้กระทำละเมิดด้วยการจงใจกระทำโดยผิดกฎหมายเท่านั้น แต่การที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ยังต้องวินิจฉัยต่อไปด้วยว่าจำเลยได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่ และความเสียหายเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยหรือไม่ซึ่งบุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ที่จะต้องกระทำหรือปฏิบัติอย่างไรบ้างคำว่าหน้าที่ในที่นี้หาจำเป็นต้องเป็นหน้าที่ที่มีกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับกำหนดไว้โดยแจ้งชัดไม่ จำเลยที่ 3 ถึงที่ 15 เป็นกรรมการดำเนินการของสหกรณ์โจทก์ต้องปฏิบัติหน้าที่ภายในกรอบเช่นวิญญูชนผู้อยู่ในฐานะเช่นจำเลยพึงปฏิบัติโดยต้องกระทำการด้วยความระมัดระวังในอันที่จะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ การที่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 15ได้ร่วมกันมีมติให้กรรมการผู้รับมอบอำนาจ 2 ใน 3 ลงลายมือชื่อในใบเบิกเงินที่ยังไม่กรอกข้อความไว้ล่วงหน้าจนเป็นเหตุให้มีผู้นำใบเบิกเงินดังกล่าวไปใช้ถอนเงินของโจทก์จากธนาคารแล้วเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวถือได้ว่าจำเลยปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ แต่ส่วนที่ว่าจำเลยที่ 3 ถึงที่ 15 จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่นั้น โจทก์จะต้องนำสืบให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยคือเป็นความเสียหายซึ่งจำเลยได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นว่าย่อมจะเกิดขึ้นได้จากการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของตน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ถึงที่ 15ไม่อาจคาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นว่าจะเกิดความเสียหายเช่นที่โจทก์ได้รับในคดีนี้ขึ้นได้เลย ความเสียหายของโจทก์จึงหาใช่ความเสียหายที่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 15ไม่ จำเลยที่ 3 ถึงที่ 15 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสิบห้าร่วมกันรับผิด เพราะเหตุที่นายสุพรพนักงานสินเชื่อของโจทก์นำสมุดเงินฝากและรับถอนเงินไปถอนเงินจำนวน 400,000 บาท จากธนาคารแล้วหลบหนีไป ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 15 ร่วมกันใช้เงินจำนวน 400,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ คำขอในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยร่วมที่ 1ที่ 2 ให้ยก จำเลยที่ 1 ถึงที่ 15 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 15 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหาในขั้นนี้เฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 15 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะเจ้าหน้าที่การเงินของโจทก์ฎีกาโต้แย้งว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นมิใช่เพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้ใช้ความระมัดระวังพอสมควรแก่เหตุแล้ว เพราะพอทราบว่านายสำราญนำสมุดคู่ฝากไปลืมไว้ที่ธนาคารก็ได้บอกให้นายสำราญไปติดตามคืนมาเมื่อทราบว่าในวันนั้นยังเอาคืนมาไม่ได้เพราะธนาคารปิด วันรุ่งขึ้นก็ยังกำชับให้ไปเอาสมุดดังกล่าวคืน จำเลยที่ 2 มีงานอื่นที่จะต้องปฎิบัติมาก จึงมิได้ดำเนินการติดตามเรื่องนี้ด้วยตนเอง เห็นว่าจำเลยที่ 2 นำสืบยอมรับว่าประมาณบ่าย 3 โมงของวันที่ 21พฤษภาคม 2522 ซึ่งเป็นวันที่มอบให้นายสำราญนำเอกสารและสมุดคู่ฝากไปเบิกเงินมาจากธนาคารจำเลยที่ 2 ได้ทราบจากนายสำราญว่าได้ลืมสมุดคู่ฝากไว้ที่ธนาคาร เมื่อทราบแล้วแทนที่จำเลยที่ 2ซึ่งมีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่การเงินต้องรับผิดชอบในการเก็บรักษาเอกสารเกี่ยวกับการเงินต่าง ๆ รวมทั้งสมุดคู่ฝากเงินฉบับนี้ด้วย จะรีบดำเนินการเพื่อป้องกันความเสียหายอันอาจจะเกิดขึ้นแก่โจทก์เยี่ยงวิญญูชนผู้มีหน้าที่เช่นจำเลยที่ 2 จะพึงกระทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีเรื่องนี้จำเลยที่ 2 รู้อยู่แก่ใจว่ากรรมการผู้มีอำนาจถอนเงินฝากเงินได้ลงชื่อไว้ในใบถอนเงินฝากเงินล่วงหน้าจำนวนมาก การปล่อยสมุดคู่ฝากไว้ที่ธนาคารย่อมเสี่ยงต่อความเสียหายที่โจทก์จะได้รับอย่างมาก จำเลยที่ 2 จำต้องกระตือรือร้นในการติดตามเอาสมุดคู่ฝากคืนมาเป็นพิเศษ และอยู่ในวิสัยที่สามารถกระทำได้โดยการรีบแจ้งเหตุให้ธนาคารทราบทันทีทันใดเพื่อป้องกันมิให้มีบุคคลฉวยโอกาสเอาสมุดคู่ฝากไปเบิกเงินของโจทก์จากธนาคารกับให้นายสำราญไปติดตามสมุดคู่ฝากคืนมาทันที ปรากฏว่าจำเลยที่ 2กระทำเพียงให้นายสำราญไปติดตามสมุดคู่ฝากคืน เมื่อนายสำราญมาบอกว่าไปถึงธนาคารปิดที่ทำการเสียก่อนแล้วก็เพียงแต่สั่งให้ไปติดตามใหม่ในวันรุ่งขึ้น หาได้แจ้งให้ธนาคารทราบเหตุไม่ ทั้ง ๆ ที่สามารถกระทำได้ง่ายด้วยการแจ้งทางโทรศัพท์เพราะไม่ปรากฏว่าในวันดังกล่าวการใช้โทรศัพท์มีเหตุขัดข้องส่อให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 มิได้เอาใจใส่เป็นธุระเรื่องนี้อย่างจริงจัง ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ด้วยการประมาทเลินเล่อไม่ระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ และความเสียหายที่โจทก์ได้รับจากการที่นายสุพรจำเลยร่วมที่ 1 นำสมุดคู่ฝากที่นายสำราญไปลืมไว้ที่ธนาคาร เบิกเงินของโจทก์จากธนาคารไปเป็นจำนวนถึง 400,000 บาท ก็ถือว่าเป็นความเสียหายที่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 เพราะหากจำเลย ที่ 2 ได้ระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ดังได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น ความเสียหายของโจทก์ย่อมจะไม่เกิดขึ้น ที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
ต่อไปจะได้วินิจฉัยคดีสำหรับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 15 ซึ่งฎีกาโต้แย้งว่าจากคำเบิกความของพยานโจทก์เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่ามติของคณะกรรมการที่ให้กรรมการผู้รับมอบอำนาจ 2 ใน 3 นายลงลายมือชื่อในใบขอถอนเงินไว้ล่วงหน้าไม่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของสหกรณ์โจทก์ เมื่อไม่เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อโดยผิดกฎหมายอันจะถือได้ว่าเป็นการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ทั้งจำเลย ที่ 3 ก็ไม่ได้รับรองรายงานการประชุมดังกล่าว จำเลยที่ 3ถึงที่ 15 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าสำหรับจำเลยที่ 3 ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานในที่ประชุมได้เข้าประชุมและลงเนื้อเห็นด้วยกับมติดังกล่าว ดังนี้ แม้ไม่อาจเข้าร่วมประชุมในคราวถัดมาและมิได้ลงชื่อรับรองรายงานการประชุมในครั้งก่อนก็หาเป็นข้อสำคัญไม่ เพราะปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 4 ถึงที่ 15 มีมติดังโจทก์ฟ้อง สำหรับมติดังกล่าวนั้นจริงอยู่นางสาวละเอียด ชัยชนะดาราซึ่งดำรงตำแหน่งสหกรณ์อำเภอบัวใหญ่พยานโจทก์ก็เบิกความรับว่าไม่มีระเบียบห้ามคณะกรรมการลงมติให้กรรมการผู้รับมอบอำนาจลงลายมือชื่อในเอกสารเบิกเงินไว้ล่วงหน้า แต่การที่ไม่มีระเบียบห้ามไว้เช่นนี้ถือได้เพียงว่าจำเลยที่ 3 ถึงที่ 15 มิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ด้วยการจงใจกระทำโดยผิดกฎหมายเท่านั้น แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 การที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 ถึงที่ 15 กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ยังต้องพิจารณาวินิจฉัยต่อไปด้วยว่า จำเลยดังกล่าวได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่ และความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยหรือไม่ ซึ่งการวินิจฉัยว่า บุคคลใดได้กระทำละเมิดต่อบุคคลอื่นโดยประมาทเลินเล่อหรือไม่นั้น จะต้องดูว่าบุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ที่จะต้องกระทำหรือปฏิบัติอย่างไรบ้าง คำว่าหน้าที่ในที่นี้หาจำเป็นต้องเป็นหน้าที่ที่มีกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับกำหนดไว้โดยแจ้งชัดไม่ สำหรับกรณีของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 15ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยทุกคนเป็นกรรมการดำเนินการของสหกรณ์โจทก์จึงจำต้องปฏิบัติหน้าที่ภายในกรอบเช่นวิญญูชนผู้อยู่ในฐานะเช่นจำเลยพึงปฏิบัติ โดยต้องกระทำการทุกอย่างด้วยความระมัดระวังในอันที่จะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ขึ้น การที่จำเลยที่ 3ถึงที่ 15 ได้ร่วมกันมีมติให้กรรมการผู้รับมอบอำนาจ 2 ใน 3 ลงลายมือชื่อในใบเบิกเงินเปล่า ๆ ที่ยังไม่กรอกข้อความไว้ล่วงหน้าจนเป็นเหตุให้มีผู้นำใบเบิกเงินดังกล่าวไปใช้ถอนเงินของโจทก์จากธนาคารแล้วเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสียเป็นจำนวนถึง400,000 บาท ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 ถึงที่ 15 ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ ปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปมีว่าจำเลยที่ 3ถึงที่ 15 ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่จะให้ให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 15 รับผิดต่อโจทก์นั้น โจทก์จะต้องนำสืบให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย นั่นคือเป็นความเสียหายซึ่งจำเลยได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นว่าย่อมจะเกิดขึ้นได้จากการกระทำโดยการประมาทเลินเล่อของตน คดีนี้คงได้ความจากคำนางสาวละเอียดพยานโจทก์ว่าตามข้อตกลงระหว่างธนาคารกรุงไทย สาขาบัวใหญ่กับสหกรณ์โจทก์ การเบิกเงินทุกครั้งจะต้องมีลายมือชื่อของกรรมการผู้รับมอบอำนาจ 2 นาย ลงลายมือในเอกสารเบิกเงินและจะต้องมีหนังสืออนุมัติการขอถอนเงินฝากของสหกรณ์อำเภอแนบไปกับใบเบิกพร้อมทั้งนำสมุดคู่ฝากไปด้วยจึงจะเบิกเงินได้ แสดงให้เห็นว่าการที่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 15 มีมติให้กรรมการผู้รับมอบอำนาจ 2 ใน 3 นายลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์ขอถอนหรือฝากไว้ล่วงหน้านั้น จำเลยที่ 3 ถึงที่ 15 ไม่อาจคาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นว่าจะเกิดความเสียหายเช่นที่โจทก์ได้รับในคดีนี้ขึ้นได้ เพราะแม้กรรมการผู้รับมอบอำนาจลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์ขอถอนหรือฝากเงินไว้แล้ว การจะถอนเงินได้ยังจะต้องมีขั้นตอนที่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบต้องปฏิบัติอีกชั้นหนึ่ง กล่าวคือต้องมีหนังสืออนุมัติการขอถอนเงินจากสหกรณ์อำเภอกับจำเลยที่ 2ต้องมอบสมุดคู่ฝากให้ไปด้วย เฉพาะคดีนี้ยังปรากฏชัดด้วยว่าเหตุที่นายสุพรนำแบบพิมพ์ขอถอนหรือฝากเงินที่กรรมการผู้รับมอบอำนาจลงชื่อไว้ ไปขอถอนเงินของโจทก์ได้ เป็นเพราะนายสำราญนำสมุดคู่ฝากของโจทก์ไปลืมไว้ที่ธนาคาร กรณีจึงเห็นได้ชัดเจนว่าความเสียหายที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 15ไม่อาจคาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นว่าจะเกิดขึ้นได้เลย ความเสียหายของโจทก์จึงหาใช่ความเสียหายที่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 15 ไม่ จำเลยที่ 3 ถึงที่ 15 ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องแก่โจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกัน ให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 15 ชดใช้เงินตามฟ้องให้โจทก์นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยที่ 3 ถึงที่ 15 ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 15นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ”

Share