คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 98/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้จำเลยที่ 1 ตามคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและชำระเงินค่าสินค้าแก่ผู้ขายไปแล้ว เมื่อสินค้าดังกล่าวขนส่งมาถึงประเทศไทย จำเลยที่ 1 ยังไม่สามารถชำระเงินค่าสินค้าที่โจทก์ชำระแทนไปก่อนได้ จึงทำสัญญาทรัสต์รีซีทกับโจทก์ ซึ่งสินค้าตามสัญญาทรัสต์รีซีทดังกล่าวก็คือสินค้าตามคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตนั่นเอง สัญญาทรัสต์รีซีทจึงเป็นเรื่องที่คู่สัญญาตามคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตทำความตกลงกันในรายละเอียดเกี่ยวกับการชำระหนี้ที่เกิดขึ้นแล้วตามคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต หาใช่เป็นเรื่องที่คู่สัญญามีเจตนาจะก่อหนี้ขึ้นใหม่หรือเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในมูลหนี้เดิมแต่อย่างใด คงเป็นมูลหนี้ในประเภทและจำนวนเดียวกัน ดังนั้น มูลหนี้ตามคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตจึงไม่ระงับไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 1,463,399.05 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 915,563.31 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา บริษัทบริหารสินทรัพย์ เพชรบุรี จำกัด ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ และต่อมาบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนบริษัทบริหารสินทรัพย์ เพชรบุรี จำกัด ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางอนุญาต
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน 915,563.31 บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 915,990 บาท ในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2540 ถึงวันที่ 3 สิงหาคม 2540 และดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 909,213.75 บาท ในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2540 ถึงวันที่ 18 กันยายน 2540 อัตราร้อยละ 20 ต่อปี นับแต่วันที่ 19 กันยายน 2540 ถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2542 อัตราร้อยละ 17 ต่อปี นับแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2542 ถึงวันที่ 15 เมษายน 2542 อัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 เมษายน 2542 ถึงวันที่ 3 ตุลาคม 2542 อัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2542 ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2543 และดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 915,563.31 บาท ในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2543 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ ส่วนจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ให้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์ในต้นเงินจำนวน 915,563.31 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 915,990 บาท ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2540 ถึงวันที่ 3 สิงหาคม 2540 และดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 909,213.75 บาท ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2540 ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2543 และดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 915,563.31 บาท ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2543 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ กับให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 7,000 บาท
โจทก์ จำเลยที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาทรัสต์รีซีทด้วยหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้จำเลยที่ 1 ตามคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและชำระเงินค่าสินค้าแก่ผู้ขายไปแล้ว เมื่อสินค้าดังกล่าวขนส่งมาถึงประเทศไทย จำเลยที่ 1 ยังไม่สามารถชำระเงินค่าสินค้าที่โจทก์ชำระแทนไปก่อนได้ จำเลยที่ 1 จึงขอทำสัญญาทรัสต์รีซีทกับโจทก์ด้วยการขอรับสินค้าไปก่อนแล้วจะชำระราคาภายในเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งสินค้าตามสัญญาทรัสต์รีซีทดังกล่าวก็คือสินค้าที่ขอให้โจทก์ชำระเงินแทนตามสัญญาตามคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตนั่นเอง สัญญาทรัสต์รีซีทจึงเป็นเรื่องคู่สัญญาตามคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตทำความตกลงกันในรายละเอียดเกี่ยวกับการชำระหนี้ที่เกิดขึ้นแล้วตามคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต อันถือได้ว่าสัญญาทรัสต์รีซีทเป็นสัญญาที่ทำต่อเนื่องจากคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต หาใช่เป็นเรื่องที่คู่สัญญามีเจตนาจะก่อหนี้ขึ้นใหม่หรือเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในมูลหนี้เดิมแต่อย่างใด คงเป็นมูลหนี้ในประเภทและจำนวนเดียวกัน ดังนั้น มูลหนี้ตามคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตจึงไม่ระงับไปเพราะการแปลงหนี้ใหม่ดังที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์แต่อย่างใด การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 รับผิดต่อโจทก์ในมูลหนี้ค่าซื้อสินค้าที่โจทก์ชำระแทนจำเลยที่ 1 ไปตามคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและต่อมาได้มีการทำสัญญาทรัสต์รีซีทไว้ในฐานะที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นผู้ค้ำประกันตามคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต จึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.

Share