คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2278/2550

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายลงโทษจำคุก 10 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง ข้อหาและคำขออื่นให้ยก โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายอีกกระทงหนึ่งตามฟ้อง จำเลยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางแก่จำเลย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ดังนี้ ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจึงยุติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ที่จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานของโจทก์เป็นพิรุธ ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางอยู่ในความครอบครองของจำเลย ขอให้พิพากษากลับยกฟ้องโจทก์ และหากศาลฎีกาฟังว่าจำเลยมีความผิดก็ขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เป็นฎีกาที่โต้เถียงปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งยุติไปแล้ว และเป็นปัญหาที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยมา ศาลฎีกาก็ไม่อาจรับวินิจฉัยฎีกาให้จำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2543 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยกับพวกอีกหนึ่งคนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 217 เม็ด หนัก 20.070 กรัม กับเมทแอมเฟตามีนอีกจำนวน 200 เม็ด น้ำหนักไม่ปรากฏชัด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยกับพวกร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 200 เม็ด น้ำหนักไม่ปรากฏ อันเป็นเมทแอมเฟตามีนส่วนหนึ่งที่มีไว้เพื่อจำหน่ายดังกล่าวให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อในราคา 9,000 บาท เหตุทั้งหมดเกิดที่แขวงทรายกองดินใต้ เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมยึดธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท 7 ฉบับ อันเป็นธนบัตรส่วนหนึ่งที่จำเลยกับพวกได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ เมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากการจำหน่าย 217 เม็ด และโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 เครื่อง เงินสด 27,000 บาท สร้อยคอทองคำ 1 เส้น นาฬิกาข้อมือ 1 เรือน สกอตเทป 1 ม้วน ดินน้ำมัน 1 ก้อน กับกระเป๋าสตางค์ 2 ใบ อันเป็นทรัพย์สินและอุปกรณ์ที่จำเลยกับพวกมีไว้เพื่อจำหน่าย และได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่บุคคลอื่น เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 ริบของกลางทั้งหมด
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 จำคุก 10 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 01 – 6281490 ข้อหาและคำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ในคืนโทรศัพท์เคลื่อนที่ หมายเลข 01 – 6281490 แก่จำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ลงโทษจำคุก 10 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 01 – 6281490 ของกลางข้อหาและคำขออื่นให้ยก โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายอีกกระทงหนึ่งตามฟ้อง จำเลยยื่นคำแก้อุทธรณ์โดยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วย ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้คืนโทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 01 – 6281490 ของกลางแก่จำเลย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฉะนั้นที่จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานของโจทก์เป็นพิรุธ ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางอยู่ในความครอบครองของจำเลย ขอให้พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์ และหากศาลฎีกาฟังว่าจำเลยมีความผิดก็ขอให้ลงโทษสถานเบานั้น จึงเป็นฎีกาที่โต้เถียงปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งยุติไปแล้ว และเป็นปัญหาที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ถึงแม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตขยายระยะเวลาฎีกาให้แก่จำเลยและรับฎีกาของจำเลยมา ศาลฎีกาก็ไม่อาจรับวินิจฉัยฎีกาให้จำเลยได้
พิพากษายกฎีกาของจำเลย.

Share