คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 98/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เมื่อเสียงปืนดังขึ้น บ. เห็นคนแปลกหน้า 2 คน ยืนถืออาวุธปืนคนละกระบอกและวิ่งผ่านหน้า ห. หนีเข้าป่าไป ต่อมาตำรวจพบจำเลยกับพวกเดินอยู่จึงขอตรวจค้น แต่จำเลยกับพวกวิ่งหนี ตำรวจจับกุมจำเลยได้พร้อมอาวุธปืนพามาให้ ห. ดูตัวห. ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนหนึ่งที่วิ่งผ่านตนไป และ บ. ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนหนึ่งที่ถืออาวุธปืนในที่เกิดเหตุประกอบกับจำเลยมีลักษณะเตี้ยเป็นพิเศษเป็นลักษณะเด่นชัดจำได้ง่าย ทั้งเหตุเกิดขึ้นใกล้เวทีชกมวยย่อมมีแสงสว่างเห็นได้ถนัด เชื่อว่าจำเลยเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่ บ. กับ ห. เห็น แม้จะไม่มีผู้ใดรู้เห็นขณะเกิดเหตุ แต่เมื่อขณะเกิดเหตุจำเลยกับพวกเท่านั้นถืออาวุธปืนอยู่ และเสียงปืนดังขึ้นจากกลุ่มของจำเลยกับพวก ถ้าจำเลยไม่ได้ยิง พวกของจำเลยก็ต้องยิง การที่จำเลยวิ่งหนีไปพร้อมกับพวกโดยถืออาวุธปืนไปด้วยกันเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาร่วมกันยิงผู้ตาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีกคนหนึ่งได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นคนละกระบอกยิงนายเลี่ยม ขุนโต ถึงแก่ความตายเหตุเกิดที่ตำบลวังนกแอ่น อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลกขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 288 นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 394/2531 ของศาลชั้นต้นจำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ลงโทษจำคุก 20 ปี ให้นับโทษต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 394/2531 ของศาลชั้นต้นจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบและจำเลยไม่โต้แย้งว่า ผู้ตายถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงถึงแก่ความตายตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ เมื่อมีเสียงปืนดังขึ้น นายบุญช่วย แพงชาวนา ซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุมองไปตามเสียงปืนเห็นคนแปลกหน้า 2 คน ยืนถืออาวุธปืนอยู่คนละกระบอกแล้ววิ่งผ่านนายไหม สิงห์รอ หนีเข้าป่าไป สิบตำรวจเอกถวิล แสนสมตำรวจสายตรวจทราบเหตุทางวิทยุจึงขับรถมายังที่เกิดเหตุพร้อมด้วยพลตำรวจนพดล พบจำเลยนี้กับพวกคนหนึ่งเดินอยู่จึงขอตรวจค้น จำเลยกับพวกวิ่งหนี พลตำรวจนพดลจับจำเลยได้พร้อมอาวุธปืน สิบตำรวจเอกถวิลพาจำเลยมายังที่เกิดเหตุนายไหมซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุเบิกความเป็นพยานโจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่วิ่งผ่านนายไหมหนีเข้าป่าไปตำรวจดำเนินคดีแก่จำเลยข้อหามีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และสืบทราบว่านายบุญช่วยเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ที่คนร้ายยิงผู้ตายจึงตามนายบุญช่วยมาดูตัวจำเลยหลังเกิดเหตุสิบกว่าวัน นายบุญช่วยมาเบิกความเป็นพยานโจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งในจำนวน 2 คน ที่ยืนถืออาวุธปืนอยู่ในที่เกิดเหตุ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นคนแปลกหน้าที่ยืนถืออาวุธปืนอยู่ในที่เกิดเหตุแล้ววิ่งหนีไปหรือไม่ และจำเลยนี้ได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายหรือร่วมกับพวกยิงผู้ตายหรือไม่ปัญหาว่าจำเลยเป็นคนแปลกหน้าในคืนเกิดเหตุหรือไม่ โจทก์มีนายไหมซึ่งได้เห็นจำเลยอีกภายหลังเห็นคนแปลกหน้าวิ่งผ่านไปเพียง2-3 ชั่วโมง กับนายบุญช่วยซึ่งได้เห็นจำเลยอีกหลังจากเห็นคนแปลกหน้าถืออาวุธปืนอยู่ในที่เกิดเหตุและวิ่งหนีไปสิบกว่าวันมาเบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งในสองคนที่เป็นคนร้ายยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย ศาลฎีกาเห็นว่า คนร้ายทั้งสองเป็นคนแปลกหน้าย่อมมีลักษณะเด่นสะดุดตาพยาน ทั้งจำเลยนี้มีลักษณะเตี้ยตรงตามลักษณะคนร้ายที่พยานทั้งสองเบิกความถึงยิ่งพิเคราะห์ภาพถ่ายตามเอกสารหมาย จ.2 จะเห็นว่าจำเลยมีลักษณะเตี้ยเป็นพิเศษเป็นลักษณะเด่นชัดให้จำได้ง่าย พยานได้เห็นจำเลยหลังจากเห็นคนร้ายวันเกิดเหตุไม่นาน ย่อมจะจำคนร้ายได้แม้เกิดเหตุกลางคืน แต่เกิดเหตุใกล้เวทีชกมวยย่อมมีแสงสว่างเห็นได้ถนัด และไม่ปรากฏว่าพยานรู้จักจำเลยมาก่อนจึงไม่มีสาเหตุกับจำเลย ทั้งไม่มีส่วนได้เสียในคดีหรือเป็นญาติกับผู้ตาย จึงไม่มีเหตุต้องสงสัยว่าพยานจะเบิกความปรับปรำจำเลยจึงเชื่อได้ว่าจำเลยเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่พยานเห็นในเวลาเกิดเหตุ ที่จำเลยอ้างว่าได้ยืนดูศพผู้ตายประเดี๋ยวหนึ่งจึงกลับไปนั้น เห็นว่า เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ได้ เพราะจำเลยพกอาวุธปืนอยู่ในเวลาเกิดเหตุยิงกัน ตำรวจอาจตรวจค้นผู้อยู่ในบริเวณเกิดเหตุได้ทุกคน จำเลยย่อมเข้าใจความจริงข้อนี้และคงไม่รอให้ตำรวจตรวจค้นได้ แม้เมื่อจำเลยเดินอยู่ระหว่างทางจำเลยยังวิ่งหนีตำรวจ ดังที่จำเลยเบิกความ ข้ออ้างของจำเลยไม่พอฟังหักล้างพยานโจทก์ ปัญหาต่อไปว่า จำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายหรือร่วมกับพวกยิงผู้ตายหรือไม่นั้น ในข้อที่ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายหรือไม่นั้นไม่มีผู้ใดรู้เห็น แต่ขณะเกิดเหตุมีแต่จำเลยกับพวกเท่านั้นถืออาวุธปืนอยู่ เสียงปืนดังขึ้นจากกลุ่มของจำเลยกับพวกซึ่งมีเพียง 2 คน ถ้าจำเลยไม่ได้ยิงพวกของจำเลยก็ต้องยิง การที่จำเลยวิ่งหนีไปพร้อมกับพวกโดยถืออาวุธปืนไปด้วยกันเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาร่วมกันที่จะยิงผู้ตาย จึงฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย และมีความผิดตามฟ้องของโจทก์”
พิพากษายืน

Share