คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1779/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า คนร้าย 7 คนไปที่บ้านผู้เสียหาย 2 คน อยู่ข้างล่าง 5 คน ซึ่งมีจำเลยทั้งสองอยู่ด้วยขึ้นไปบนเรือน. พวกจำเลยคนหนึ่งเรียกเอาเงิน 2,000 บาท ครั้นผู้เสียหายว่าไม่มี. พวกจำเลยคนนั้นจึงใช้ปืนจี้พาผู้เสียหายลงเรือนไป โดยบอกภรรยาผู้เสียหายว่าถ้าต้องการสามีคืนให้หาเงินจำนวนดังกล่าวไปให้. เมื่อคนร้ายไปแล้ว มีผู้ช่วยพาภรรยาผู้เสียหายติดตามไปนำเงิน100 บาท ไปด้วยเพื่อไถ่ตัวผู้เสียหาย. เมื่อไปพบจำเลยกับพวกนั่งอยู่กลางทุ่งนา. ภรรยาผู้เสียหายเอาเงินจำนวนนั้นมอบให้แก่พวกจำเลยคนที่เป็นผู้เรียกเงิน. แต่พวกจำเลยไม่ยอมปล่อยตัวผู้เสียหายจนกว่าจะได้เงินครบตามที่เรียกร้อง. ภรรยาผู้เสียหายจึงแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่รับผิดชอบให้ดำเนินคดีต่อไป. พฤติการณ์ดังนี้ถือได้ว่าเป็นการกระทำผิดฐานจับคน(อายุเกิน 13 ปี)ไปเรียกค่าไถ่ หาใช่กรรโชกธรรมดาไม่.

ย่อยาว

คดีสองสำนวนซึ่งรวมพิจารณาพิพากษานี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 6 คน ซึ่งยังจับตัวไม่ได้ ได้ร่วมกันใช้ปืนและมีดปลายแหลมเป็นอาวุธขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้าย บังคับข่มขืนใจ จับตัวนายสุขปาสาเนา อายุกว่า 13 ปีไปควบคุมหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้ แล้วขู่เข็ญนางสงัด ปาสาเนา ภรรยานายสุขฯ เพื่อเรียกเงินค่าไถ่ 2,000 บาท ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษ (สำหรับนายสิงห์โข่ง) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา313, 83 และ 92 จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ศาลอนุญาตให้นายสุข ปาสาเนา เข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ตามคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313, 83 ให้จำคุกคนละ 15 ปี เพิ่มโทษนายสิงห์โข่งจำเลย 1 ใน 3 ตามมาตรา 92 แต่คำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยนี้เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามมาตรา 78คงจำคุกนายสิงห์โข่ง 13 ปี 4 เดือน จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานไม่พอฟังลงโทษจำเลยได้และในปัญหาข้อกฎหมายว่ารูปเรื่องเป็นเพียงความผิดฐานกรรโชกธรรมดาเท่านั้น ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ตามวันเวลาดังกล่าวในฟ้อง จำเลยกับพวกได้จับตัวนายสุขผู้เสียหายไว้เพื่อเรียกเงินจริง โดยฟังว่าในตอนแรกคนร้าย 7 คนไปที่บ้านผู้เสียหาย 2 คนอยู่ข้างล่าง 5 คนซึ่งมีจำเลยทั้งสองอยู่ด้วยขึ้นไปบนเรือน นายสมานพวกจำเลยเรียกเอาเงิน2,000 บาท ผู้เสียหายว่าไม่มี นายสมานจึงเอาปืนจี้พาผู้เสียหายลงเรือนไปโดยบอกนางสงัดว่าถ้าต้องการผัวคืนให้หาเงินไปให้ 2,000 บาทและในตอนหลังได้มีผู้มาช่วยพานางสงัดติดตามจำเลยกับพวกเพื่อให้นางสงัดฯ นำเงิน 100 บาทไปไถ่ตัวผู้เสียหายพบจำเลยกับพวกนั่งอยู่กลางทุ่งนา นางสงัดได้นำเงินไปให้นายสมาน 100 บาท แต่นายสมานฯไม่ยอมปล่อยตัวผู้เสียหายจนกว่าจะได้เงินครบตามที่เรียกร้อง นางสงัดกับพวกจึงแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบให้ดำเนินคดีกับจำเลยต่อไป จึงวินิจฉัยว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดี การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดฐานจับบุคคลอายุเกิน 13 ปีไปเรียกค่าไถ่ตามฟ้อง หาใช่ความผิดฐานกรรโชกธรรมดาไม่ พิพากษายืน.

Share