แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
บ้านของผู้เสียหายไม่มีรั้วล้อม บริเวณหลังบ้านอยู่ติดกับถนนส่วนบุคคล จะถือเอาเพียงฝาผนังและประตูเหล็กด้านหลังเป็นแนวของเคหสถานย่อมไม่ได้ เพราะเคหสถานหมายความรวมถึง บริเวณของที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยนั้นด้วย เมื่อผู้เสียหายได้ใช้ประโยชน์บริเวณรอบบ้านเป็นที่วางสิ่งของเครื่องใช้อยู่โดยรอบ ทางด้านหลังมีโอ่งน้ำและถ้วยชามวางอยู่ กับมีหลังคายื่นออกมาคลุม การที่จำเลยทั้งสองเข้าไปอยู่ข้างประตูหลังบ้านย่อมต้องถือว่าเป็นการเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายแล้ว จำเลยทั้งสองเข้าไปในขณะผู้เสียหายไม่อยู่บ้าน ทั้งมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน เรื่องจำเลยลักลอบต่อสายไฟจากมิเตอร์บ้านของผู้เสียหาย ยิ่งไม่มีเหตุสมควรที่จะเข้าไปอยู่ที่บริเวณดังกล่าว จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานบุกรุกเคหสถาน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2546 เวลากลางวันจำเลยทั้งสองร่วมกันบุกรุเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของนางพุ่มพวง ผู้เสียหาย โดยไม่มีเหตุอันสมควรและโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364, 365, 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (2) ประกอบมาตรา 364, 83 จำคุกคนละ 6 เดือน และปรับคนละ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้น ฟังเป็นยุติได้ว่า บ้านของผู้เสียหายที่เกิดเหตุเป็นบ้านชั้นเดียวอยู่ติดพื้นดิน ผนังทั้งสี่ด้านทำด้วยอิฐบล็อก ประตูหน้าบ้านอยู่ทางด้านทิศใต้ประตูหลังบ้านเป็นเหล็กดัดอยู่ทางด้านทิศเหนือ หลังคามุงด้วยแฝกตามภาพถ่ายหมาย จ.5 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานบุกรุกโดยร่วมกันเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือไม่ โจทก์มีนางสาวสุนิสา บุตรผู้เสียหายเบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 9 นาฬิกา ขณะพยานขับรถยนต์เก๋งผ่านถนนหลังบ้านของผู้เสียหายเห็นชาย 2 คน ที่ประตูหลังบ้านผู้เสียหาย คนหนึ่งยืนอยู่ ส่วนอีกคนหนึ่งนั่งยองๆ ชายทั้งสองคนพยานรู้จักมาก่อนเคยมาสร้างบ้านผู้เสียหายคือจำเลยทั้งสอง เห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน พยานรู้จักกับจำเลยทั้งสองมาก่อน หลังเกิดเหตุพยานก็พาเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมจำเลยทั้งสองที่บ้านโดยไม่ลังเล จึงเชื่อว่าขณะเกิดเหตุจำเลยทั้งสองได้เข้าไปอยู่ที่ข้างประตูหลังบ้านผู้เสียหายจริง ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า บริเวณประตูหลังบ้านผู้เสียหายจุดที่จำเลยทั้งสองยืนอยู่ถือว่าเป็นการล่วงล้ำเข้าไปในเคหสถานอันจะถือว่าเป็นการบุกรุกแล้วหรือไม่ เห็นว่า บทนิยาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (4) “เคหสถาน” หมายความว่า ที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัย เช่น เรือน โรง เรือ หรือแพ ซึ่งคนอยู่อาศัยและให้หมายความรวมถึงบริเวณของที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัย จะมีรั้วล้อมหรือไม่ก็ตาม ดังนี้ แม้จะได้ความว่าบ้านของผู้เสียหายไม่มีรั้วล้อมกับได้ความจากคำของนางสาวสุนิสาเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า บริเวณหลังบ้านผู้เสียหายอยู่ติดกับถนนส่วนบุคคลก็ตาม กรณีจะถือเอาเพียงฝาผนังและประตูเหล็กด้านหลังเป็นแนวของเคหสถานย่อมจะไม่ได้ เพราะเคหสถานตามกฎหมายให้หมายความรวมถึง บริเวณของที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยนั้นด้วย เมื่อพิจารณาตามภาพถ่ายหมาย จ.5 เห็นได้ชัดว่าผู้เสียหายได้ใช้ประโยชน์บริเวณรอบบ้านเป็นที่วางสิ่งของเครื่องใช้อยู่โดยรอบ ทางด้านหลังมีโอ่งน้ำและถ้วยชามวางอยู่ กับมีหลังคายื่นออกมาคลุมตามภาพถ่ายหมาย จ.1 การที่จำเลยทั้งสองไปอยู่ตรงบริเวณดังกล่าวย่อมต้องถือว่าเป็นการเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายแล้ว จำเลยทั้งสองเข้าไปในขณะผู้เสียหายไม่อยู่บ้าน ทั้งได้ความว่าผู้เสียหายกับจำเลยทั้งสองมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน เรื่องจำเลยลักลอบต่อสายไฟจากมิเตอร์บ้านของผู้เสียหาย จึงยิ่งไม่มีเหตุสมควรที่จะเข้าไปอยู่ที่บริเวณประตูหลังบ้านของผู้เสียหาย และการที่จำเลยทั้งสองนำสืบปฏิเสธว่า ไม่ได้เข้าไปในบริเวณประตูหลังบ้านของผู้เสียหาย จึงยิ่งเป็นพิรุธส่อแสดงให้เห็นถึงเจตนาอันไม่สุจริตของจำเลยทั้งสอง พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควร ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน