แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยยื่นคำร้อง ขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยยื่น คำให้การศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตเพราะเห็นว่าการขาดนัด เป็นไปโดยจงใจและไม่มีเหตุสมควรให้ยกคำร้อง คำสั่ง ศาลชั้นต้นดังกล่าวมิใช่คำสั่งไม่รับคำให้การของจำเลย อันถือเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 แต่เป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาก่อนที่ศาลชั้นต้น จะได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดี จึงต้องห้ามมิให้ อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวในระหว่างพิจารณาคดีตาม มาตรา 226(1)
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าปรับพร้อมดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องจำนวน 294,141.50 บาทกับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 294,141.50 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยโดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2539 แต่จำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนดต่อมาวันที่ 16 กันยายน 2539 จำเลยยื่นคำร้องว่าไม่ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องของโจทก์ การขาดนัดของจำเลยมิได้เป็นไปโดยจงใจ ขออนุญาตยื่นคำให้การภายใน 15 วันนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งไม่อนุญาตเพราะเห็นว่าการขาดนัดเป็นไปโดยจงใจและไม่มีเหตุสมควรให้ยกคำร้อง คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลย มิใช่คำสั่งไม่รับคำให้การของจำเลยอันถือเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 จึงเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาก่อนที่ศาลชั้นต้นจะได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดี ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวในระหว่างพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(1)
พิพากษายืน