แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ความผิดฐานมีและพาอาวุธติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกกระทงละ 1 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 8 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาแก้เป็นไม่ลดโทษให้จำเลยทุกข้อหา จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยและลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน 5 ปี จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอรับฟังลงโทษจำเลยได้ เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ก่อนเกิดเหตุจำเลยกับพวกพบผู้ตายและผู้เสียหายโดยบังเอิญที่ปั๊มน้ำมัน โดยต่าง ไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน และขณะเติมน้ำมันรถไม่ปรากฏว่าจำเลย กับพวกเกิดทะเลาะโต้เถียงกับผู้ตายและผู้เสียหายแต่อย่างใด แม้จำเลยจะให้การว่าเมื่อจำเลย ถามพวกว่าจะเอาอย่างไร จะยิงยางแล้วจี้ใช่ไหม พวกบอกว่าให้ยิงคนขับทิ้งก็เป็นการตกลง เพื่อความสะดวกในการจะชิงทรัพย์ อันเป็นการมุ่งกระทำต่อทรัพย์นั้นเอง พฤติการณ์ตาม รูปคดียังไม่หนักแน่นมั่นคงพอจะฟังว่า จำเลยกับพวกฆ่าผู้ตายและพยายามฆ่าผู้เสียหาย โดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 และศาลฎีกาให้ยกเอาคำให้การของจำเลยดังกล่าวขึ้นมารับฟังประกอบการวินิจฉัยคดี ถือว่าคำให้การของจำเลยนั้นเป็นการให้ความรู้แก่ศาล อันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ สมควรลดให้ และให้มีผลถึงความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนซึ่งต้องห้าม มิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ด้วย เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,289(4)(6)(7), 340 วรรคท้าย, 340 ตรี, 371, 80, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบอาวุธปืนลูกซอง ปลอกและเม็ดตะกั่วกระสุนปืนลูกซองของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4)(6)(7), 80, 339 วรรคท้าย, 371 พระราชบัญญัติ อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นและชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4)(6)(7) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดให้ประหารชีวิต ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุกตลอดชีวิตความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจำคุก 1 ปี ความผิดฐานพาอาวุธปืนลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดจำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ประกอบมาตรา 52, 53 หนึ่งในสาม ความผิดฐานฆ่าผู้อื่น คงจำคุกตลอดชีวิต ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นจำคุก 33 ปี 4 เดือน ความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและพาอาวุธปืน จำคุกกระทงละ 8 เดือน รวมโทษทุกกระทงแล้วให้จำคุกตลอดชีวิตสถานเดียว ส่วนที่โจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี ด้วยนั้น เมื่อศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิตตามมาตรา 339 วรรคท้าย แล้วก็ไม่อาจวางโทษหนักขึ้นอีกกึ่งหนึ่งตามมาตรา 340 ตรี ริบอาวุธปืนลูกซอง ปลอกและเม็ดตะกั่วกระสุนปืนลูกซองของกลางข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะข้อหาฆ่าผู้อื่นนั้น จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4)(6) ไม่ลดโทษให้จำเลยทุกข้อหา คงลงโทษประหารชีวิต นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว สำหรับข้อหาความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 1 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกกระทงละ 8 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้ไม่ลดโทษให้จำเลยทุกข้อหา เท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้ในส่วนนี้ด้วย แต่เป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยและลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน 5 ปีที่จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอรับฟังลงโทษจำเลยได้ ขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองให้ยกฟ้องโจทก์ เท่ากับจำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดในสองฐานดังกล่าวนี้ด้วยนั้น เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ข้อหาความผิดฐานมีและพาอาวุธปืน จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในส่วนนี้ให้คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาแต่เฉพาะข้อหาในกระทงความผิดฐานฆ่าผู้อื่นฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น และฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบประกอบกันมีน้ำหนักและเหตุผลมั่นคงฟังได้ว่า จำเลยร่วมกับพวกเป็นคนร้ายกระทำความผิด ข้อนำสืบต่อสู้ของจำเลยซึ่งแตกต่างขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่จำเลยเคยให้การไว้ในชั้นสอบสวนนั้นไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ปัญหาต่อไปมีว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดสถานใดบ้าง เห็นว่าการที่จำเลยกับพวกใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย และยิงต่อสู้กับผู้เสียหาย แม้กระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหาย แล้วชิงทรัพย์ของผู้เสียหายและผู้ตายไป ตามบัญชีทรัพย์ถูกประทุษร้าย เอกสารหมาย ป.จ.3 ของศาลอาญา พฤติการณ์ของจำเลยกับพวกดังกล่าวฟังได้ว่า จำเลยได้ร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่าเพื่อความสะดวกในการที่จะทำความผิดฐานชิงทรัพย์ เมื่อปรากฏว่าผู้ตายถึงแก่ความตายผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น พยายามฆ่าผู้อื่นเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(6) และมาตรา 289(6), 80 ตามลำดับและฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคท้าย อีกบทหนึ่งด้วย ส่วนปัญหาว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาด้วยหรือไม่ เห็นว่า คดีได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยกับพวกมาพบผู้ตายและผู้เสียหายโดยบังเอิญที่ปั๊มน้ำมันตอนไปเติมน้ำมันรถ โดยจำเลยกับพวกต่างไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตายและผู้เสียหายมาก่อน และขณะเติมน้ำมันรถ ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยกับพวกเกิดทะเลาะโต้เถียงกับผู้ตายและผู้เสียหายประการใด ผู้เสียหายเองก็เบิกความว่า เหตุที่เกิดขึ้นเข้าใจว่าจำเลยกับพวกมีความมุ่งประสงค์ต่อทรัพย์ ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.6 แผ่นที่ 4 ว่า จำเลยกับพวกตกลงกันชิงทรัพย์เพราะเห็นคนในรถยนต์ที่ผู้ตายขับมีเงินมากตอนล้วงกระเป๋ากางเกงแม้จำเลยจะให้การว่า เมื่อจำเลยถามพวกว่าจะเอาอย่างไร จะยิงยางแล้วจี้ใช่ไหม พวกบอกว่าให้ยิงคนขับทิ้ง ก็เป็นที่เห็นได้ว่าที่จำเลยกับพวกตกลงกันดังกล่าวก็เพื่อความสะดวกในการที่จะชิงทรัพย์ อันเป็นการที่จำเลยกับพวกมุ่งประสงค์ต่อทรัพย์นั้นเองพฤติการณ์ตามรูปคดียังไม่หนักแน่นมั่นคงพอที่จะฟังว่าจำเลยกับพวกฆ่าผู้ตายและพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จึงลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามมาตรา 289(4) ไม่ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดในฐานดังกล่าวนี้มาด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
ที่จำเลยฎีกาประการสุดท้ายว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่า จำเลยให้การรับสารภาพโดยจำนนต่อพยานหลักฐานไม่มีเหตุลดโทษให้ เป็นการลงโทษจำเลยรุนแรงเกินพฤติการณ์ เพราะจำเลยเข้ามอบตัวแจ้งเบาะแสคนร้ายให้ทราบและไม่หลบหนีทั้งเป็นการลงโทษที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่มีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยมากขึ้นได้นั้น เห็นว่าคดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ศาลชั้นต้นได้ยกเอาคำให้การดังกล่าวขึ้นมารับฟังประกอบการวินิจฉัยคดี และตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1ก็วินิจฉัยด้วยว่า ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพและนำชี้ที่เกิดเหตุให้พนักงานสอบสวนถ่ายภาพไว้ว่าได้กระทำผิด ซึ่งเท่ากับว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้ยกเอาคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนขึ้นมารับฟังประกอบการวินิจฉัยคดีด้วย ทั้งศาลฎีกาก็ได้ยกเอาคำให้การของจำเลยดังกล่าวขึ้นมารับฟังประกอบการวินิจฉัยคดีด้วยเช่นกัน ถือได้ว่าคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษ จึงเห็นสมควรลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้มีผลถึงความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ดังกล่าวข้างต้นด้วย เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ลดโทษให้จำเลยทุกข้อหานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยในส่วนนี้ฟังขึ้นเมื่อวินิจฉัยเช่นนี้แล้วกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในส่วนที่ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาลงโทษจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่อีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง”
พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะความผิดฐานฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่น จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(6) และมาตรา 289(6), 80ตามลำดับ ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามทุกข้อหา รวมทุกกระทงแล้วให้จำคุกตลอดชีวิตนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1