คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9775/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้คำเบิกความของ ด. เป็นพยานบอกเล่า แต่ถ้อยคำของผู้ตายที่บอกกล่าวขณะรู้สึกว่าตนจะต้องถึงแก่ความตายว่าคนร้ายที่ยิงตนคือจำเลย ย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานว่าเป็นความจริงตามคำกล่าวได้ซึ่ง ด. ได้ให้การชั้นสอบสวนในวันถัดจากวันเกิดเหตุว่า ผู้ตายบอกกล่าวกับตนว่า “ไอ้ลอบยิงผมแล้ว” ซึ่งเป็นเวลาใกล้ชิดกับเหตุที่ผู้ตายถูกยิงและขณะนั้น ด. ย่อมจำเหตุการณ์ได้ดีที่สุด ส่วนที่ ด. มาเบิกความในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3731/2544 ของศาลชั้นต้นและเบิกความในคดีนี้เหตุการณ์ได้ผ่านไปประมาณ 12 ปี และ 17 ปี ตามลำดับ ความจำของ ด. อาจคลาดเคลื่อนไปบ้างแต่มีระบุชื่อจำเลยตรงกัน ไม่ปรากฏว่ามีผู้อื่นในหมู่บ้านที่เกิดเหตุชื่อเดียวกับจำเลย และจำเลยกับพี่น้องรวม 3 คน มีเรื่องทะเลาะชกต่อยกับผู้ตายประกอบกับผู้ตายถูกยิงที่แก้มด้านซ้ายในระยะห่างประมาณ 1.50 เมตร แสดงว่าคนร้ายต้องอยู่ต่อหน้าผู้ตายในระยะใกล้เชื่อว่าผู้ตายมีโอกาสเห็นจำเลยได้ชัดเจน จึงสามารถระบุชื่อจำเลยเป็นคนยิงทันที
ส่วนปัญหาว่า ช. ไปแจ้งเหตุให้ ด. ทราบหรือไม่ ไม่ใช่สาระสำคัญแต่ ช. ได้ให้การในชั้นสอบสวนในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3000/2546 ของศาลชั้นต้นเบิกความในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3731/2544 ของศาลชั้นต้นและเบิกความในคดีนี้ตรงกันตลอดมาว่า เมื่อได้ยินเสียงอาวุธปืนดัง พยานเห็นจำเลยถืออาวุธปืนสั้นเดินสวนทางมากับพยาน ทั้งตรงกับคำให้การในชั้นสอบสวนของ ด. ว่าหลังเกิดเหตุ ช. บอกพยานว่า เห็นจำเลยวิ่งถืออาวุธปืนสวนทางไป เป็นการสนับสนุนว่าพยานโจทก์ดังกล่าวเป็นพยานแวดล้อมกรณีที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ที่มีเหตุผลรับฟัง พยานหลักฐานของจำเลยนำสืบปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่ลอยๆ ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2530 เวลากลงคืนหลังเที่ยงจำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายประดับ ผู้ตาย โดยเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน กระสุนปืนถูกผู้ตายที่บริเวณใบหน้าเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่ตำบลทับช้าง อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา เจ้าพนักงานยึดซองปืนพก 1 ซอง ทับหมอน กระสุนปืนลูกซอง 1 อัน ซึ่งใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 33 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ให้ลงโทษประหารชีวิต ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุกตลอดชีวิต ข้อหาอื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ขณะนายประดับ ผู้ตาย นายสิน นายเสริม และนายฉ้องหรือไข่ฉ้อง จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดง ที่ 3731/2544 ของศาลชั้นต้น นั่งดื่มสุราบริเวณหน้าร้านขายของชำของนางเพ็ญ มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย กระสุนปืนถูกที่แก้มหน้าซ้ายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา สำหรับข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่ฎีกา ข้อหาดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาหรือไม่ ซึ่งมีปัญหาต้องวินิจฉัยก่อนว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายหรือไม่ โจทก์มีนายเดช บิดาผู้ตาย เป็นพยานเบิกความว่า ขณะพยานอยู่ที่บ้านห่างจากร้านขายของชำของนางเพ็ญประมาณ 100 เมตร ได้ยินเสียงอาวุธปืนดัง 1 นัด มาจากร้านดังกล่าวจึงเดินไปดูพบผู้ตายนอนอยู่ที่พื้นหน้าร้านแต่ยังไม่ถึงแก่ความตาย ผู้ตายพูดกับพยานและมีผู้ได้ยินหลายคนว่า “พ่อผมถูกยิงนายลอบและนายฉ้องเป็นคนยิง” พยานนำผู้ตายส่งโรงพยาบาลและผู้ตายถึงแก่ความตายที่โรงพยาบาล และโจทก์มีนายชวน เป็นพยานเบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 19 นาฬิกา ขณะพยานเดินมาซื้อน้ำมันก๊าดที่ร้านของนางเพ็ญได้ยินเสียงอาวุธปืนดัง 1 นัด ก่อนถึงร้านประมาณ 3 เมตร พยานเห็นจำเลยถืออาวุธปืนสั้นเดินสวนทางมาห่างประมาณ 3 เมตร เมื่อพยานถึงร้านพบผู้ตายถูกยิงนอนบริเวณหน้าร้านยังไม่ถึงแก่ความตาย เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองดังกล่าวรู้เห็นเหตุการณ์หลังเกิดเหตุใกล้ชิด และต่างเคยรู้จักจำเลยมาก่อน เฉพาะนายชวนเห็นจำเลยเกือบทันทีหลังได้ยินเสียงอาวุธปืนดัง 1 นัด มีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าจำเลยก่อนเหตุร้ายให้เกิดภยันตรายแก่บุคคลอื่น โดยถืออาวุธปืนสั้นเดินหลบหนีไป ทั้งยังปรากฏตามคำเบิกความของนายเดชอีกว่า หลังเกิดเหตุผู้ตายบอกกับพยานทันทีว่าจำเลยยิง ถ้อยคำของผู้ตายดังกล่าวเป็นคำบอกกล่าวในทันทีใดในเวลาใกล้ชิดต่อเนื่องกับเวลาเกิดเหตุและระบุว่าจำเลยเป็นคนร้ายโดยไม่มีโอกาสที่จะคิดใส่ความบุคคลอื่นและขณะนั้นผู้ตายถูกยิงบริเวณแก้มด้านซ้าย ซึ่งปรากฏว่าผู้ตายมีเลือดไหลนองท่วมตัวและร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด พยานเข้าไปประคองและร้องเรียกผู้ตายให้รู้สึกตัว หลังจากนั้นผู้ตายพูดต่อแต่ไม่มีเสียงออกมา ตามบันทึกคำให้การของนายเดช เอกสารหมาย จ.1 ในสำนวนอาญาคดีหมายเลขแดงที่ 3731/2544 ของศาลชั้นต้น ลักษณะผู้ตายมีอาการเพียบหนักและถ้อยคำของผู้ตายแสดงถึงความรู้สึกว่าตนจะต้องถึงแก่ความตายแล้ว การที่ผู้ตายบอกกล่าวในขณะที่มีความรู้สึกเช่นนั้นว่า คนร้ายที่ยิงตนคือจำเลยเช่นนี้ ยอมรับฟังเป็นพยานหลักฐานว่าเป็นความจริงตามคำกล่าวได้ ประกอบกับโจทก์มีพันตำรวจเอกกอบ เป็นพยานเบิกความสนับสนุนคำบอกกล่าวของผู้ตายว่า จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุพบทับหมอนกระสุนปืนลูกซองตกห่างจากกองเลือดผู้ตายประมาณ 1.50 เมตร สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นจุดที่คนร้ายยิงผู้ตายเนื่องจากทับหมอนกระสุนปืนจะหลุดออกจากกระสุนปืนขณะยิง และจากบาดแผลของผู้ตายแสดงว่าคนร้ายน่าจะยิงในระยะใกล้จึงเชื่อได้ว่าผู้ตายมีโอกาสเห็นคนร้ายได้ชัดเจน นอกจากนี้พยานดังกล่าวเบิกความอีกว่าในวันตรวจสถานที่เกิดเหตุทราบจากบิดาของผู้ตายว่า หลังเกิดเหตุผู้ตายบอกว่าจำเลยเป็นคนยิง ทำให้คำบอกกล่าวของผู้ตายมีน้ำหนักรับฟังมากขึ้น สำหรับสาเหตุที่ผู้ตายถูกยิงได้ความจากคำเบิกความของพันตำรวจเอกชนินทร์ พนักงานสอบสวนว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายกับพวกรวม 4 คน มีเรื่องทะเลาะชกต่อยกับพี่น้องของจำเลยและจำเลยรวม 3 คน ฝ่ายจำเลยสู้ฝ่ายผู้ตายไม่ได้จึงได้ฆ่าผู้ตาย ตามรายงานผลการสืบสวนเอกสารหมาย จ.11 ในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3731/2544 ของศาลชั้นต้น รวมทั้งนายสินและนายเสริมเป็นพยานเบิกความว่า หลังเกิดเหตุจำเลยหายไปจากหมู่บ้านที่เกิดเหตุ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีน้ำหนักรับฟัง ที่จำเลยฎีกาว่า คำเบิกความของนายเดชที่ว่าผู้ตายพูดกับนายเดชว่า “พ่อผมถูกยิง นายลอบและนายฉ้องเป็นคนยิง” เป็นพยานบอกเล่าไม่มีเหตุผลเพียงพอรับฟังลงโทษจำเลยได้ เพราะขัดแย้งกับคำเบิกความของนายชวนที่ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า นายชวนพบผู้ตายนอนอยู่กับพื้น ไม่ได้สติและเชื่อว่าถึงแก่ความตายแล้ว ขัดแย้งกับคำเบิกความของนายเดชเองในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3731/2544 ของศาลชั้นต้น ที่ตอบโจทก์ว่า นายเดชพบผู้ตายถูกยิงนอนจมกองเลือดไม่สามารถพูดได้ และตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ครั้งแรกที่นายเดชพบผู้ตายถูกยิงนอนจมกองเลือดอยู่นั้น ผู้ตายไม่สามารถพูดได้แล้ว นอกจากนี้คำบอกกล่าวของผู้ตาย นายเดชให้การในชั้นสอบสวนว่า ผู้ตายบอกว่าจำเลยเป็นคนยิง ตามบันทึกคำให้การของนายเดชเอกสารหมาย จ.1 ในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3731/2544 ของศาลชั้นต้น แต่นายเดชกลับเบิกความในคดีนี้ว่า ผู้ตายบอกว่าจำเลยและนายฉ้องเป็นคนยิง จึงขัดแย้งกัน หากนายฉ้องร่วมยิงด้วยนายเสริมกับนายสินพยานโจทก์ที่ร่วมดื่มสุรากับผู้ตายขณะเกิดเหตุต้องยืนยันว่ากระทำอย่างไร แต่พยานทั้งสองปากไม่ได้เบิกความว่านายฉ้องร่วมกระทำด้วย ทั้งคำบอกกล่าวของผู้ตายระบุว่า นายลอบเป็นคนยิงผู้ตายโดยไม่ได้ระบุชื่อสกุล ประกอบกับตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ จุดที่คนร้ายยิงผู้ตายอยู่ทางด้านซ้ายเยื้องไปทางด้านหลังผู้ตายและนายสินให้การว่าผู้ตายนั่งหันหน้าไปทางทิศเหนือ ข้อเท็จจริงดังกล่าวบ่งชี้ว่าผู้ตายไม่เห็นคนร้ายขณะยิงผู้ตายนั้น เห็นว่า แม้คำเบิกความของนายเดชเป็นพยานบอกเล่า แต่ถ้อยคำของผู้ตายที่บอกกล่าวขณะรู้สึกว่าตนจะต้องถึงแก่ความตายว่า คนร้ายที่ยิงตนคือจำเลย ย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานว่าเป็นความจริงตามคำกล่าวได้ ซึ่งนายเดชได้ให้การชั้นสอบสวนในวันถัดจากวันเกิดเหตุว่า ผู้ตายบอกกล่าวกับตนว่า “ไอ้ลอบยิงผมแล้ว” ตามบันทึกคำให้การของนายเดชเอกสารหมาย จ.1 ในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3731/2544 ของศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นเวลาใกล้ชิดกับเหตุที่ผู้ตายถูกยิงและขณะนั้นนายเดชย่อมจำเหตุการณ์ได้ดีที่สุด ส่วนที่นายเดชมาเบิกความในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3731/2544 ของศาลชั้นต้นและเบิกความในคดีนี้เหตุการณ์ได้ผ่านไปประมาณ 12 ปี และ 17 ปี ตามลำดับ ความจำของนายเดชอาจคลาดเคลื่อนไปบ้าง แต่มีระบุชื่อนายลอบหรือจำเลยตรงกัน ซึ่งไม่ปรากฏว่ามีชื่อนายลอบคนอื่นที่หมู่บ้านที่เกิดเหตุ และจำเลยกับพี่น้องรวม 3 คน มีเรื่องทะเลาะชกต่อยกับผู้ตาย ประกอบกับผู้ตายถูกยิงที่แก้มด้านซ้ายในระยะห่างประมาณ 1.50 เมตร แสดงว่าคนร้ายต้องอยู่ต่อหน้าผู้ตายในระยะใกล้ เชื่อว่าผู้ตายมีโอกาสเห็นจำเลยได้ชัดเจน จึงสามารถระบุชื่อจำเลยเป็นคนยิงทันที และที่จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงจากคำเบิกความของนายชวนว่า เมื่อพบผู้ตายถูกยิงนอนอยู่หน้าร้านของนางเพ็ญ นายชวนได้เดินไปบอกนายเดช แต่นายเดชเบิกความว่า ขณะอยู่ที่บ้านพักได้ยินเสียงอาวุธปืนบริเวณร้านของนางเพ็ญ สงสัยจะเกิดเหตุและเดินไปดู จึงไม่อาจฟังได้ว่า นายชวนไปแจ้งเหตุให้นายเดชทราบ คำเบิกความของนายชวนที่ระบุว่า พบจำเลยถืออาวุธปืนสั้นเดินสวนทางในวันเกิดเหตุไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง นอกจากนี้หากนายชวนพบเห็นจำเลยถืออาวุธปืนในวันเกิดเหตุจริงก็น่าจะเล่าเหตุการณ์ที่พบเห็นให้นายเดช เจ้าพนักงานตำรวจและเจ้าหน้าที่บ้านเมืองให้รับทราบ แต่ข้อเท็จจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เห็นว่า ปัญหาว่านายชวนไปแจ้งเหตุให้นายเดชทราบหรือไม่ ไม่ใช่สาระสำคัญ แต่นายชวนได้ให้การในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของนายชวนเอกสารหมาย จ.12 ในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3000/2546 ของศาลชั้นต้น เบิกความในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3731/2544 ของศาลชั้นต้นและเบิกความในคดีนี้ตรงกันตลอดมาว่า เมื่อได้ยินเสียงอาวุธปืนดังพยานเห็นจำเลยถืออาวุธปืนสั้นเดินสวนทางกับพยาน ทั้งตรงกับคำให้การในชั้นสอบสวนของนายเดชว่า หลังเกิดเหตุนายชวนบอกพยานว่าเห็นจำเลยวิ่งถืออาวุธปืนสวนทางไป ตามบันทึกคำให้การของนายเดชเอกสารหมาย จ.1 ในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3731/2544 ของศาลชั้นต้น เป็นการสนับสนุนว่าพยานโจทก์ดังกล่าว เป็นพยานแวดล้อมกรณีที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ที่มีเหตุผลรับฟัง พยานหลักฐานของจำเลยนำสืบปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่ลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share