คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3147/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนมีประเด็นว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 48 ตารางวา เป็นของโจทก์หรือจำเลย คู่ความตกลงท้ากันด้วยวิธีการรังวัดที่ดินพิพาทเป็นข้อแพ้ชนะคดีโดยไม่มีการชี้สองสถานกำหนดประเด็นพิพาทและสืบพยาน ผลการรังวัดปรากฏว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยคดีนี้ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อน กรณีย่อมถือว่าประเด็นพิพาทแห่งคดีที่ว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 48 ตารางวาเป็นของโจทก์หรือจำเลยในคดีก่อนนั้นเป็นประเด็นโดยตรงได้รับการวินิจฉัยในคดีก่อนและคดีถึงที่สุดไปแล้ว การที่โจทก์คดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีก่อนกลับมาฟ้องจำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อนอีกว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 48 ตารางวา ในคดีก่อนเป็นของโจทก์ แม้คดีนี้โจทก์จะอ้างการครอบครองปรปักษ์มาด้วย ก็หาได้แตกต่างกับคดีก่อนที่อ้างว่าโจทก์ครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทแต่อย่างใดไม่ และไม่ทำให้ประเด็นพิพาทที่ว่าที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือจำเลยเปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นกรณีคู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่33356 เนื้อที่ 3 งาน 8 ตารางวา ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของที่ดินโจทก์ เมื่อปี 2520 ทางราชการได้ออกโฉนดที่ดินของโจทก์และจำเลย โดยได้มีการปักหลักหมุดฝังเสาไว้ตั้งแต่ออกโฉนดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อกลางเดือนสิงหาคม 2535โจทก์ขอตรวจสอบแนวเขตที่ดินตามที่ปักหลักหมุดฝังเสาไว้ปรากฏว่าโจทก์ได้ปักหลักหมุดฝังเสาเข้าไปครอบครองที่ดินบางส่วนของจำเลยได้ที่ดินทางด้านทิศใต้เนื้อที่เพิ่มขึ้น48 ตารางวา ซึ่งโจทก์ครอบครองที่ดินส่วนดังกล่าวติดต่อกันมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลากว่าสิบปี ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 33356 เฉพาะส่วนเนื้อที่ 48 ตารางวา
จำเลยให้การว่า โจทก์เพิ่งรุกล้ำขยายแนวเขตและล้อมรั้วลวดหนามเข้ามาในที่ดินของจำเลยเมื่อเดือนเมษายน 2536 และจำเลยได้ฟ้องขอให้โจทก์รื้อถอนเสารั้วออกไปจากที่ดินของจำเลยโดยตกลงท้ากันว่าเสาปูนและรั้วลวดหนามอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์หรือจำเลย โจทก์แพ้คดีตามคำท้า และถึงที่สุดแล้วฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาว่า ประเด็นพิพาทคดีก่อนมีว่าที่ดินพิพาทเนื้อที่ 48 ตารางวา เป็นของโจทก์หรือจำเลย ไม่มีประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทเนื้อที่ 48 ตารางวาของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ ประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ไม่มีการวินิจฉัยมาแล้วในคดีก่อน คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนนั้น เห็นว่าคดีก่อนมีประเด็นว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 48 ตารางวา เป็นของโจทก์หรือจำเลยซึ่งตรงกับที่โจทก์และจำเลยได้ยื่นคำแถลงเสนอประเด็นพิพาทดังกล่าวไว้ต่อศาลแม้ในวันชี้สองสถานคดีก่อนโจทก์และจำเลยตกลงท้ากันด้วยวิธีการรังวัดที่ดินพิพาทเป็นข้อแพ้ชนะคดี โดยไม่มีการชี้สองสถานกำหนดประเด็นพิพาทและสืบพยาน และผลการรังวัดปรากฏว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์คดีก่อน แม้โจทก์คดีก่อนเป็นฝ่ายชนะคดีตามคำท้าก็ตาม ย่อมถือว่าประเด็นพิพาทแห่งคดีที่ว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 48 ตารางวา เป็นของโจทก์หรือจำเลยคดีก่อนเป็นประเด็นโดยตรงที่ได้รับการวินิจฉัยในคดีก่อน และคดีถึงที่สุดแล้ว การที่โจทก์คดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีก่อนกลับมาฟ้องจำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อนอีกว่าที่ดินพิพาทเนื้อที่ 48 ตารางวา คดีก่อนเป็นของโจทก์ แม้คดีนี้อ้างการครอบครองปรปักษ์ก็หาได้แตกต่างกับคดีก่อนที่อ้างว่าครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทแต่อย่างใดไม่ และไม่ทำให้ประเด็นพิพาทว่าที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือจำเลยเปลี่ยนแปลงไป ประเด็นพิพาทในคดีก่อนและคดีนี้ยังคงเป็นในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงเดียวกันซึ่งได้รับการวินิจฉัยมาแล้วในคดีก่อน การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยคดีนี้จึงเป็นกรณีคู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำ จึงต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
พิพากษายืน

Share