คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 977/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์ของโจทก์ไว้กับจำเลย ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยแบบประเภทบุคคลที่สาม ซึ่งตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 เรียกว่า ประกันภัยแบบค้ำจุน คือผู้รับประกันภัยตกลงจะใช้เงินค่าสินไหมทดแทนในนามผู้เอาประกันภัย เมื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่อีกบุคคลหนึ่ง และซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ โดยโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า คนขับรถของโจทก์ขับรถมาเกิดอุบัติเหตุชนกับรถยนต์ของผู้อื่นเสียหายและคนตายผู้เสียหายฟ้องให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหาย โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบแล้ว โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินจากจำเลยตามกรมธรรม์ประกันภัย ดังนี้ถือว่าฟ้องของโจทก์ชัดเจนและครบถ้วนตามกฎหมายแล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ผู้เอาประกันภัยฟ้องเรียกเงินจากผู้รับประกันภัยแบบค้ำจุนเพื่อจะเอาเงินไปเฉลี่ยให้แก่ผู้เสียหายซึ่งฟ้องเรียกเอาจากผู้เอาประกันภัย นั้น ไม่ใช่เป็นการฟ้องแทนผู้เสียหายจึงไม่ต้องมีการมอบอำนาจให้ฟ้องเพราะผู้เอาประกันมีอำนาจฟ้องตามกรมธรรม์ประกันภัยอยู่แล้ว
กรมธรรม์ประกันภัยมีข้อความระบุว่า ผู้รับประกันภัยจะชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยที่จะต้องรับผิดต่อบุคคลที่สามอันเกิดขึ้นจากการใช้ยานยนต์ที่ระบุในตารางแห่งกรมธรรม์นี้ ย่อมหมายความว่า การที่ผู้เอาประกันภัยใช้รถยนต์ไปเกิดเหตุขึ้น และผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดต่อบุคคลที่สามซึ่งรวมถึงความประมาทเลินเล่อของฝ่ายผู้เอาประกันภัยด้วย ดังนี้ ผู้รับประกันภัยย่อมต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลที่สามในนามของผู้เอาประกันภัย ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบ
กรมธรรม์ประกันภัยมีเงื่อนไขระบุว่า เมื่อเกิดกรณีพิพาทขึ้นแล้ว คู่กรณีจะได้แต่งตั้งอนุญาโตตุลาการขึ้น แต่กรณีนี้ผู้รับประกันภัยมิได้เสนอตั้งอนุญาโตตุลาการ และยังบอกปัดปฏิเสธความรับผิดโดยสิ้นเชิง ดังนี้ผู้เอาประกันภัยย่อมนำคดีมาฟ้องศาลโดยไม่ต้องตั้งอนุญาโตตุลาการได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้เอาประกันภัยรถยนต์ของโจทก์ไว้กับจำเลยแบบประเภทบุคคลที่สาม กล่าวคือ จำเลยจะยอมใช้ค่าทดแทนความเสียหายให้แก่บุคคลภายนอกหากเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากการใช้รถยนต์คันที่เอาประกันภัยได้ภายในวงเงินไม่เกิน 50,000 บาทรถยนต์ของโจทก์คันที่เอาประกันภัยไว้ได้เกิดอุบัติเหตุชนกับรถยนต์ของบริษัทถ้วยทองและรถยนต์เทศบาลเมืองพนัศนิคม เป็นเหตุให้รถยนต์และคนโดยสารได้รับความเสียหายและคนโดยสารถึงแก่ความตาย โจทก์ถูกผู้เสียหายฟ้องเรียกค่าเสียหาย โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้ จำเลยเพิกเฉยเสีย จึงขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน 50,000 บาท ให้โจทก์เพื่อเฉลี่ยใช้ให้แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์ และยกข้อต่อสู้หลายประการส่วนค่าเสียหาย คู่ความรับกันว่า โจทก์เสียหาย 42,900 บาท

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินให้โจทก์ 42,900บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า ให้ยกคำขอที่ให้ใช้ดอกเบี้ยเสีย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยตามกรมธรรม์ประกันภัยแบบบุคคลที่สาม ซึ่งตามความหมาย มาตรา 887 เรียกว่าประกันภัยค้ำจุนคือ ผู้รับประกันภัยตกลงจะใช้เงินค่าสินไหมทดแทนในนามผู้เอาประกันภัย เมื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่อีกบุคคลหนึ่ง และซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า คนขับรถของโจทก์ขับรถมาเกิดอุบัติเหตุชนกับรถยนต์ของบริษัทถ้วยทองและรถยนต์เทศบาลเมืองพนัศนิคม เป็นเหตุให้รถยนต์และคนโดยสารได้รับความเสียหายและถึงแก่ความตาย 1 คน บัดนี้ ผู้เสียหายฟ้องให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหาย รวม 4 ราย เป็นเงิน 92,720 บาท โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบแล้วตามหนังสือซึ่งโจทก์คัดสำเนามาท้ายฟ้อง ซึ่งระบุนามผู้ฟ้องและค่าเสียหายแต่ละราย แต่โจทก์เรียกจากจำเลยเพียง 50,000 บาท ตามกรมธรรม์ประกันภัยดังนี้เห็นว่า ฟ้องโจทก์ชัดเจนครบถ้วนตามกฎหมายแล้ว

ส่วนที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยแบบค้ำจุนเป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท เพื่อเอาไปเฉลี่ยให้แก่ผู้เสียหายไม่ใช่เป็นการฟ้องแทนผู้เสียหายจึงไม่ต้องมีการมอบอำนาจให้ฟ้องโจทก์มีอำนาจฟ้องอยู่แล้วตามสัญญาประกันภัยนั้นเอง

ตามกรมธรรม์ประกันภัย หมวด 2 ว่าด้วย ความรับผิดต่อบุคคลที่สามข้อ 1(ข) ระบุว่า ผู้รับประกันภัยจะชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยที่จะต้องรับผิดต่อบุคคลที่สามในความเสียหายแก่ทรัพย์สินของบุคคลที่สามอันเกิดขึ้นจากใช้ยานยนต์ที่ระบุในตารางแห่งกรมธรรม์นี้ ข้อความในกรมธรรม์ย่อมหมายความว่า การที่โจทก์ใช้รถยนต์ไปเกิดเหตุขึ้นและโจทก์ต้องรับผิดต่อบุคคลที่สาม ย่อมรวมถึงความประมาทเลินเล่อของฝ่ายโจทก์ด้วย และการประกันภัยแบบนี้ผู้รับประกันภัยย่อมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลที่สามในนามของผู้เอาประกันภัย ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ ถ้าจะถือเอาเฉพาะกรณีที่ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดชอบ ก็ไม่มีทางที่บริษัทจะต้องรับผิดชอบเลย

ในเงื่อนไขเรื่องตั้งอนุญาโตตุลาการตามกรมธรรม์ข้อ 8 นั้นเป็นเรื่องที่เกิดกรณีพิพาทขึ้นแล้ว คู่กรณีจะได้แต่งตั้งอนุญาโตตุลาการขึ้น แต่เรื่องนี้จำเลยซึ่งเป็นคู่กรณีฝ่ายหนึ่งมิได้เสนอตั้งอนุญาโตตุลาการเลย ยังบอกปัดความรับผิดเสียด้วยแม้ภายหลังโจทก์จะได้แจ้งเรื่องมีผู้เรียกร้องค่าเสียหายและจำนวนค่าเสียหายให้จำเลยทราบ จำเลยก็กลับเพิกเฉยเสียอีก ดังนี้ เท่ากับจำเลยปฏิเสธความรับผิดโดยสิ้นเชิง ไม่ยอมที่จะทำความตกลงปรานีประนอมหรือแม้แต่จะตั้งอนุญาโตตุลาการเสียแล้ว โจทก์ย่อมนำคดีมาฟ้องตามกรมธรรม์อันนี้ได้

พิพากษายืน

Share