แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์กล่าวในฟ้องตอนแรกว่า ผู้ตายมิได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้ผู้ใดเลย ขอให้ศาลสั่งทำลายพินัยกรรมที่จำเลยนำออกแสดงนั้นเสีย แล้วภายหลังร้องเพิ่มเติมฟ้องอีกว่า ถึงแม้ผู้ตายจะได้ทำพินัยกรรมไว้จริง ก็เป็นโมฆะ เพราะทำในขณะวิกลจริต และทำไม่ถูกตามแบบซึ่งกฎหมายบังคับไว้ จึงเป็นฟ้องที่ตั้งประเด็นเป็น 2 นัยหรือ 2 อย่างไม่แน่นอนขัดแย้งกัน เพราะจะเป็นไปไม่ได้ทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า พระภิกษุจรัสได้มรณะภาพ ทรัพย์สินอันเป็นมรดกจึงตกได้แก่วัดไก่เตี้ยตามกฎหมาย จำเลยนี้ได้ได้ยื่นคำร้องขอรับมรดกโดยอ้างว่าเจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมที่พิพาทให้ ซึ่งความจริงพระภิกษุจรัสมิได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้แก่ผู้ใดเลย ถึงแม้พระภิกษุจรัสได้ทำพินัยกรรมไว้จริงก็จริตกล ไม่ปกติวิสัยขิงบุคคลธรรมดา พินัยกรรมเป็นโมฆะ จึงขอให้สั่งเพิกถอนพินัยกรรมดังกล่าว และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยต่อสู้ว่า ตัดฟ้องว่า ฟ้องเคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นสั่งว่าฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม จึง พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจประชุมปรึกษาแล้ว โจทก์กล่าวในฟ้องตอนแรกว่า พระภิกษุจรัสไม่ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้แก่ผู้ใดเลย ขอให้ศาลสั้งทำลายพินัยกรรมที่จำเลยนำออกแสดงนั้นเสีย คือให้ศาลสั่งทำลายหนังสือที่จำเลยอ้างว่าเป็นพินัยกรรมของพระภิกษุจรัส ซึ่งความจริงพระภิกษุจรัสไม่ได้เป็นผู้ทำไว้ แล้วร้องเพิ่มเติมฟ้องว่า ถึงแม้พระภิกษุจรัสจะได้ทำไว้จริง ก็เป็นโมฆะเพราะทำในขณะวิกลจริต และทำไม่ถูกตามแบบซึ่งกฎหมายบังคับไว้ จึงเป็นฟ้องที่ตั้งประเด็นเป็น ๒ นัย หรือ ๒ อย่างไม่แน่นอนขัดแย้งกัน เพราะจะเป็นไปไม่ได้ทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน เป็นฟ้องเคลือบคลุม จึง พิพากษายืน