คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9746/2539

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำขึ้นระหว่างคู่กรณีมีผลให้ระงับสิทธิเรียกร้องของคู่กรณีเดิมและก่อให้เกิดสิทธิใหม่ตามที่แสดงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่หลังจากทำแล้วคู่กรณีย่อมจะแสดงเจตนาเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นหรือยกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ได้ตามสมัครใจเมื่อต่อมาคู่กรณีได้แสดงเจตนายกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้ว จึงไม่จำต้องผูกพันตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 88-8800 กรุงเทพมหานคร ไว้จากบริษัทสระบุรีรัชต์ จำกัด จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 81-3161 สระบุรี และเป็นนายจ้างหรือตัวการใช้ให้นายทองคำ คำวินัย ขับไปในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งที่ได้มอบหมาย โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน 10-0288 เพชรบูรณ์ และเป็นนายจ้างหรือตัวการใช้ให้นายธวัช พรหมกลาง ขับไปในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งที่ได้มอบหมาย โดยมีจำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2536 เวลาประมาณ 17 นาฬิกา นายทองคำได้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 81-3161 สระบุรี ไปตามถนนพหลโยธินจากแยกหินกองมุ่งหน้าไปทางจังหวัดสระบุรีโดยความประมาทด้วยความเร็วสูง เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุใกล้ปั๊มน้ำมันเอสโซ่ ตำบลห้วยทราย อำเภอหินกอง จังหวัดสระบุรี ได้เปลี่ยนช่องเดินรถโดยกะทันหัน ตัดหน้ารถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 10-0288เพชรบูรณ์ ซึ่งนายธวัชเป็นผู้ขับตามหลังมาในทิศทางเดียวกันด้วยความประมาทใช้ความเร็วสูง เป็นเหตุให้รถยนต์คันที่นายธวัชขับพุ่งชนท้ายรถยนต์คันที่นายทองคำขับ จากแรงชนทำให้รถยนต์คันที่นายทองคำขับพุ่งไปชนรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ซึ่งจอดอยู่บริเวณไหล่ถนนด้านซ้าย ได้รับความเสียหายหลายรายการรวมเป็นเงิน 12,000 บาท โจทก์ได้ใช้ค่าเสียหายไปแล้วจึงรับช่วงสิทธิฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ให้ร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายจำนวนเงิน 12,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์จ่ายเงินจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่อาจรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้มาเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 เพราะตัวแทนผู้เอาประกันภัยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับนายทองคำแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 4 ให้การว่า เหตุที่เกิดขึ้นเนื่องจากความประมาทของนายทองคำผู้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 81-3161 สระบุรีและผู้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 88-8800 กรุงเทพมหานครขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยาน โจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ร่วมกันแถลงว่า นายประเวศ วงษ์ทน ผู้ขับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ และเป็นผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 88-8800 กรุงเทพมหานคร ที่เอาประกันภัยไว้แก่โจทก์ได้ขอให้พนักงานสอบสวนบันทึกในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีว่าไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายจากเหตุละเมิดที่เกิดขึ้นแต่ต่อมาคู่กรณีได้ไปพบพนักงานสอบสวนขอให้ลงบันทึกใหม่ว่าติดใจเรียกร้องค่าเสียหาย ตามรายงานประจำปีที่เกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 จึงขอให้ศาลวินิจฉัยว่า การที่นายประเวศ ไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ทำละเมิดแก่รถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้นั้นผูกพันโจทก์จำเลยหรือไม่โดยไม่ติดใจสืบพยานและสละประเด็นข้อต่อสู้อื่นทั้งหมด โจทก์ติดใจเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสี่เพียง 8,000 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน8,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ทุนทรัพย์พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงฟังว่าภายหลังจากรถยนต์คันที่โจทก์ จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4รับประกันภัยไว้เกิดชนกันแล้วเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2536 เจ้าของรถยนต์ทั้งสามคันได้ขอให้พนักงานสอบสวนลงบันทึกในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีตามเอกสารหมาย จ.1 มีใจความว่า เจ้าของรถยนต์ทั้งสามคันตกลงกันจะนำรถยนต์ไปซ่อมเองไม่ประสงค์จะเรียกร้องสิ่งอื่นใดอีก ต่อมาเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2536 เจ้าของรถยนต์ทั้งสามคันได้ขอให้พนักงานสอบสวนลงบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดีอีกครั้งตามเอกสารหมาย จ.2 ว่า เจ้าของรถยนต์ทั้งสามคันยังตกลงค่าเสียหายไม่ได้ จะไปฟ้องร้องคดีทางแพ่งกัน วันที่13 กรกฎาคม 2536 โจทก์ได้จ่ายค่าซ่อมแซมรถยนต์ที่รับประกันภัยแก่ผู้รับซ่อมไปเป็นเงิน 12,000 บาท ปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสี่หรือไม่ เห็นว่า ตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.1 ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อคู่กรณีทุกฝ่าย รายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีนี้จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ มีผลให้ระงับสิทธิเรียกร้องของคู่กรณีเดิมและก่อให้เกิดสิทธิใหม่ตามที่แสดงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่หลังจากทำสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว คู่กรณีย่อมจะแสดงเจตนาเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นหรือยกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ได้ตามสมัครใจ คดีนี้เมื่อคู่กรณีไม่ประสงค์จะถือเอาสิทธิที่จะได้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยร่วมกันทำข้อบันทึกใหม่ว่า หากตกลงเรื่องค่าเสียหายไม่ได้ คู่กรณีจะฟ้องร้องคดีแพ่งกันเอง ย่อมถือว่าคู่กรณีได้แสดงเจตนายกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้วไม่จำต้องผูกพันตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ ได้ความว่าโจทก์ได้ชดใช้ค่าซ่อมรถไปเรียบร้อย ย่อมรับช่วงสิทธิของเจ้าของรถยนต์คันที่เสียหายฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนคืนจากจำเลยทั้งสี่ผู้ต้องร่วมกันรับผิดในเหตุละเมิดได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share