คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 972/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยบรรทุกสินค้าไปตกเขา จำเลยได้มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ฐานประพฤติผิดวินัยอย่างร้ายแรงเนื่องจากโจทก์ขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย โจทก์จึงยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานกลางศาลจังหวัดนครสวรรค์เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2531 เรียกค่าเสียหายที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ ศาลนัดพิจารณาวันที่ 23 มิถุนายน 2531ไว้แล้ว ต่อมาวันที่ 10 มิถุนายน 2531 โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานกลางเป็นคดีนี้ เรียกค่าเสียหายกับเรียกค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า บำเหน็จ ค่าเล่าเรียนบุตรที่ค้างชำระเข้ามาด้วย จำเลยให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ ครั้นวันที่ 23 มิถุนายน 2531 ซึ่งเป็นวันนัดพิจารณาคดีเดิมโจทก์ไม่ไปศาลตามกำหนด ศาลแรงงานกลาง ศาลจังหวัดนครสวรรค์จึงมีคำสั่งจำหน่ายคดี แต่เมื่อมูลคดีของคดีเดิมและคดีนี้เนื่องจากโจทก์ขับรถยนต์บรรทุกสินค้าของจำเลยตกเขา อันเป็นมูลคดีเดียวกันโจทก์มาฟ้องคดีนี้จึงเป็นการยื่นคำฟ้องในเรื่องเดียวกันเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1) ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31 ตั้งแต่วันยื่นคำฟ้องแล้ว โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าคดีเดิมศาลแรงงานกลาง (ศาลจังหวัดนครสวรรค์) จะได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีก่อนที่ศาลแรงงานกลางจะมีคำพิพากษาคดีนี้ ศาลแรงงานกลางจึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ และเมื่อศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องฟ้องแย้งของจำเลยก็ย่อมตกไป เพราะไม่มีฟ้องเดิม และไม่มีตัวโจทก์เดิมที่จะเป็นจำเลยอยู่ต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างประจำ หน้าที่เป็นพนักงานขับรถยนต์จำเลยเลิกจ้างโจทก์ โดยโจทก์ไม่มีความผิด ขอให้บังคับจำเลยเพิกถอนคำสั่งที่เลิกจ้างโจทก์ รับโจทก์กลับเข้าทำงานโดยให้นับอายุงานติดต่อ กับให้จำเลยชำระเงินค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เงินบำเหน็จค่าเล่าเรียนบุตรที่ค้างชำระและค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย หากจำเลยไม่สามารถรับโจทก์กลับเข้าทำงานได้ ก็ขอให้จำเลยจ่ายเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมายระเบียบและข้อบังคับของจำเลยแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินตามฟ้องฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อน ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ย โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าเหตุที่เกิดเป็นเหตุสุดวิสัย โจทก์ไม่ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น ขอให้ยกฟ้องแย้ง ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชำระค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลย พร้อมดอกเบี้ย โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “อุทธรณ์ของโจทก์ตามข้อ 2.1 ที่ว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้อน เพราะขณะที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาคดีนี้เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2531 นั้น คดีเดิมศาลแรงงานกลาง (ศาลจังหวัดนครสวรรค์) ได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2531 และคดีถึงที่สุดแล้ว โดยคดีเดิมศาลยังมิได้กำหนดประเด็น และการกำหนดประเด็นในคดีนี้ได้กำหนดหลังจากคดีเดิมถูกจำหน่ายไปแล้ว จึงไม่เป็นการซ้อนประเด็นกัน
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยบรรทุกสินค้าจากกรุงเทพมหานครไปส่งตามสถานีรายทางต่าง ๆของจำเลย แล้วรถยนต์คันที่โจทก์ขับได้แหกโค้งตกเขาบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 68-69 อำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อวันที่6 กุมภาพันธ์ 2528 ต่อมาวันที่ 16 ธันวาคม 2530 จำเลยได้มีคำสั่งที่ ลอ.385/2530 เลิกจ้างโจทก์ฐานประพฤติผิดวินัยอย่างร้ายแรงเนื่องจากโจทก์ขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย โจทก์จึงยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานกลาง(ศาลจังหวัดนครสวรรค์) เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2531 เรียกค่าเสียหายที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นเงิน 976,980 บาท ศาลนัดพิจารณาวันที่ 23 มิถุนายน 2531 ต่อมาวันที่ 10 มิถุนายน 2531 โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานกลางเป็นคดีนี้ เรียกค่าเสียหาย976,980 บาท กับเรียกค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าว บำเหน็จค่าเล่าเรียนบุตรที่ค้างชำระ พร้อมดอกเบี้ยเข้ามาด้วย ครั้นวันที่23 มิถุนายน 2531 ซึ่งเป็นวันนัดพิจารณาคดีเดิม โจทก์ไม่ไปศาลตามกำหนดนัด ศาลแรงงานกลาง (ศาลจังหวัดนครสวรรค์) จึงมีคำสั่งจำหน่ายคดี และคดีนี้ศาลแรงงานกลางพิพากษาเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2531เห็นว่า มูลคดีของคดีเดิมและคดีนี้ก็เนื่องมาจากโจทก์ขับรถยนต์บรรทุกสินค้าของจำเลยตกเขาเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2528และจำเลยได้มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2530มูลคดีทั้งสองคดีนี้จึงเป็นมูลคดีเดียวกัน และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1) ประกอบด้วยพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 31 บัญญัติว่า “นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้ว คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา และผลแห่งการนี้
(1) ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น…ฯลฯ”
เมื่อโจทก์ยื่นคำฟ้องคดีเดิมวันที่ 2 มิถุนายน 2531 คดีดังกล่าวจึงอยู่ในระหว่างการพิจารณา และโจทก์มายื่นคำฟ้องคดีนี้ในวันที่ 10 มิถุนายน 2531 โดยอาศัยมูลคดีเดียวกัน และโดยที่คดีเดิมยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา การยื่นคำฟ้องคดีนี้จึงเป็นการยื่นคำฟ้องในเรื่องเดียวกันต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าวตั้งแต่วันยื่นคำฟ้องแล้ว โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าคดีเดิมศาลแรงงานกลาง(ศาลจังหวัดนครสวรรค์) จะได้มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีก่อนที่ศาลแรงงานกลางจะมีคำพิพากษาคดีนี้ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อน ให้ยกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น และเมื่อศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์แล้ว ฟ้องแย้งของจำเลยก็ย่อมตกไป เพราะไม่มีฟ้องเดิมและไม่มีตัวโจทก์เดิมที่จะเป็นจำเลยอยู่ต่อไป ที่ศาลแรงงานกลางยังวินิจฉัยฟ้องแย้งของจำเลยและพิพากษาให้โจทก์ชำระค่าเสียหายตามฟ้องแย้งให้แก่จำเลยนั้นเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว และเมื่อวินิจฉัยเช่นนี้แล้วกรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ต่อไป”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง

Share