คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 442/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อมีเหตุอันสมควรแสดงได้ว่าพยานหลักฐานที่โจทก์ขออนุญาตอ้างเพิ่มเติมภายหลังวันชี้สองสถาน โจทก์ไม่ทราบว่าได้มีอยู่ก่อนวันชี้สองสถาน และปรากฏว่าพยานหลักฐานนั้นเป็นพยานหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดี จำเป็นจะต้องสืบเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม ศาลก็ควรอนุญาตให้โจทก์อ้างพยานหลักฐานดังกล่าวเพิ่มเติมได้.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้ยื่นคำขอและเสียภาษีตามมาตรา 30 แห่งพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14) พ.ศ.2529 โจทก์จึงได้รับความคุ้มครองที่จะไม่ต้องถูกประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีสำหรับรายรับหรือเงินได้ที่มีอยู่ก่อนหรือในวันที่ 31ธันวาคม 2527 การประเมินของเจ้าพนักงานจำเลยที่ให้โจทก์เสียภาษีการค้าสำหรับปีพ.ศ.2522 ถึง 2525 จึงไม่ชอบ ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ก็ได้รับความคุ้มครองตามพระราชกำหนดดังกล่าว จำเลยไม่มีสิทธิประเมินและสั่งให้โจทก์เสียภาษีการค้า ให้จำเลยถอนการอายัดทรัพย์สินของโจทก์
จำเลยให้การว่าเจ้าพนักงานของจำเลยได้ประเมินภาษีการค้าของโจทก์ก่อนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2529 โจทก์จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชกำหนดดังกล่าวจำเลยมีอำนาจยึดและอายัดทรัพย์สินตามฟ้อง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก่อนนำคดีมาสู่ศาล ขอให้ยกฟ้อง
หลังจากวันชี้สองสถาน โจทก์ได้ยื่นคำร้องลงวันที่ 10 ตุลาคม2529 ขออ้างบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมรวม 2 อันดับ โดยอ้างว่าพยานอันดับแรกซึ่งเป็นพยานบุคคลโจทก์เพิ่งทราบว่าเป็นผู้รู้เห็นในการที่เจ้าพนักงานประเมินไปปิดแบบแจ้งการประเมินภาษีการค้า ณโรงงานผลิตและจำหน่ายน้ำแข็งของโจทก์ ส่วนพยานอันดับสองเป็นหนังสือแจ้งให้นำเงินภาษีอากรไปชำระลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์2529 ซึ่งคนงานของโจทก์เก็บได้ในบริเวณที่ปิดแบบแจ้งการประเมิน และคนงานเพิ่งนำมามอบให้แก่โจทก์ ศาลภาษีอากรกลางว่าโจทก์ยื่นเมื่อพ้นระยะเวลาตามกฎหมายทั้งตามคำร้องไม่มีเหตุอันสมควร จึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์ระบุบัญชีพยานเพิ่มเติมยกคำร้องของโจทก์ โจทก์ได้ยื่นคำแถลงคัดค้านคำสั่งศาลดังกล่าวแล้ว
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาที่โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลภาษีอากรกลางที่ไม่อนุญาตให้โจทก์ระบุบัญชีพยานเพิ่มเติมตามคำร้องของโจทก์ลงวันที่ 10 ตุลาคม 2529 เสียก่อน พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามข้อกำหนดคดีภาษีอากรที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 20 และมาตรา30 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ.2528 ข้อ 8 วรรคสี่ได้กำหนดไว้ว่าเมื่อระยะเวลาที่กำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง แล้วแต่กรณีได้สิ้นสุดลงแล้ว ถ้าคู่ความซึ่งได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้แล้วมีเหตุอันสมควรแสดงได้ว่า ตนไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบเพื่อประโยชน์ของตนหรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานบางอย่างได้มีอยู่ หรือมีเหตุอันสมควรอื่นใดคู่ความดังกล่าวนั้นอาจยื่นคำร้องต่อศาลไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนพิพากษาคดีขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานเช่นว่านั้นและถ้าศาลเห็นว่าเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้นก็ให้ศาลอนุญาตตามคำร้อง ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตระบุพยานเพิ่มเติมภายหลังวันชี้สองสถาน พร้อมทั้งแนบบัญชีพยานมาท้ายคำร้องด้วย ซึ่งพยานอันดับแรกเป็นพยานบุคคลชื่อนายดาบตำรวจสมเดช (ไม่ทราบนามสกุล) พยานอันดับสองเป็นหนังสือที่ว่าการอำเภอเมืองจันทบุรีแจ้งให้นำเงินภาษีอากรไปชำระลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2529 โดยโจทก์อ้างเหตุที่โจทก์ไม่สามารถอ้างบัญชีระบุพยานดังกล่าวก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่าเจ็ดวันได้ว่า โจทก์เพิ่งทราบว่าพยานอันดับแรกเป็นผู้รู้เห็นในการที่เจ้าพนักงานของจำเลยไปปิดแบบแจ้งการประเมินภาษีการค้าที่โรงงานผลิตและจำหน่ายน้ำแข็งของโจทก์ ส่วนพยานอันดับสองคนงานของโจทก์เป็นผู้เก็บได้ในบริเวณที่เจ้าพนักงานของจำเลยปิดแบบแจ้งการประเมิน และเพิ่งส่งเอกสารดังกล่าวให้โจทก์แสดงให้เห็นว่าพยานที่โจทก์ระบุเพิ่มเติมทั้งสองอันดับดังกล่าว โจทก์ไม่ทราบว่าได้มีอยู่ก่อนวันชี้สองสถานการอ้างพยานเพิ่มเติมทั้งสองอันดับของโจทก์จึงมีเหตุอันสมควร ทั้งประเด็นแห่งคดีมีว่าเจ้าพนักงานของจำเลยได้ประเมินภาษีการค้าในปีพ.ศ.2522ถึง 2525 และนำแบบแจ้งการประเมินไปปิดที่โรงงานผลิตและจำหน่ายน้ำแข็งของโจทก์ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2529 ตามที่โจทก์ฟ้องหรือปิดในวันที่ 23 มกราคม 2529 ดังที่จำเลยให้การ พยานทั้งสองอันดับที่โจทก์อ้างเพิ่มเติมจึงเป็นพยานสำคัญเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวที่จะแสดงให้เห็นว่าเจ้าพนักงานของจำเลยได้ทำการประเมินภาษีการค้าของโจทก์ในปีพ.ศ.2522 ถึง 2525 ก่อนหรือหลังวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2529 ซึ่งเป็นวันที่พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14) พ.ศ.2529 ใช้บังคับ ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องสืบพยานที่โจทก์อ้างเพิ่มเติมทั้งสองอันดับเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม ศาลควรอนุญาตให้โจทก์อ้างบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมตามคำร้องลงวันที่ 10 ตุลาคม 2529 ที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์อ้างบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น อุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ไม่จำต้องวินิจฉัยอีกต่อไป
พิพากษายกคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางอนุญาตให้โจทก์อ้างบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมได้ตามคำร้อง และให้ศาลภาษีอากรกลางดำเนินการพิจารณาสืบพยานที่อ้างเพิ่มเติมแล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลภาษีอากรกลางรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่’.

Share