คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 971/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีบุกรุกเข้าไปในบ้านเพื่อทำร้ายคนบนเรือนเป็นการกระทำกรรมเดียวกันนั้นเมื่อศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดฐานทำร้ายร่างกายแล้ว สิทธิที่จะฟ้องคดีฐานบุกรุกย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณความอาญา มาตรา 39(4)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามนี้กับพวกที่หลบหนีได้บังอาจสมคบกันมีอาวุธติดตัวบุกรุกขึ้นไปบนบ้านนายชูโดยมิได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุสมควร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๔,๓๖๕
จำเลยให้การปฏิเสธเมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วจำเลยขอให้การใหม่รับว่าข้อเท็จจริงที่พยานโจทก์เบิกความเป็นความจริง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยทั้องสามถูกฟ้องฐานทำร้ายร่างกายและศาลได้พิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้ว สิทธินำคดีนี้มาฟ้องจึงเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙(๔) พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านนายชูแล้วทำร้ายคนบนเรือนนั้นถือว่าเป็นการกระทำกรรมเดียว ไม่ใช่แยกเป็นต่างกรรมต่างวาระกันหรือคนละตอนดังที่โจทก์ฎีกา เมื่อศาลมณฑลทหารบกที่ ๒ (ศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา) ได้พิพากษาคดีแดงที่ ๔๔๕/๒๕๐๓ ก่อนหน้าศาลพิพากษาคดีนี้ สิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องคดีนี้ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙(๒) เพราะศาลได้พิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องนั้นแล้ว แม้โจทก์จะฟ้องคดีนี้ไว้ก่อนและต่างฐานความผิดกันก็ดี แต่ก็โดยการกระทำกรรมอันเดียวกันนั้นเอง ฎีกาของโจทก์จึงตกไป
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์

Share