แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อที่ดินเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1ซึ่งสมรสกันมาตั้งแต่พ.ศ.2475โดยยังมิได้หย่าร้างกันดังนี้โจทก์ย่อมมีสิทธิร้องขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของร่วมกันในโฉนดที่ดินดังกล่าวได้ตามป.พ.พ.มาตรา1475 จำเลยที่3เป็นบุตรของจำเลยที่1เคยทราบว่ามารดาและพี่ชายเคยถูกโจทก์ฟ้องขอเพิกถอนการโอนที่ดินบางแปลงมาแล้วแสดงว่าจำเลยที่3ทราบดีว่าโจทก์ก็ยังเป็นภริยาจำเลยที่1อยู่นอกจากนี้ในวันโอนที่ดินแปลงพิพาทก็ได้ทราบจากพนักงานที่ดินแล้วว่าโจทก์เคยอายัดที่ดินแปลงนี้ไว้แต่หมดอายุแล้วแต่จำเลยที่3ก็ยังฝืนรับซื้อที่ดินจากจำเลยที่1จึงส่อถึงเจตนาอันไม่สุจริตฉะนั้นเมื่อที่ดินเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1จำเลยที่1จะขายที่ดินแปลงนี้จะต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์หรือโจทก์ให้สัตยาบันเสียก่อนการขายนั้นจึงจะสมบูรณ์การที่จำเลยที่1ขายที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่3โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์และจำเลยที่3กระทำการโดยไม่สุจริตดังนี้โจทก์จึงมีสิทธิขอเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินแปลงนี้ได้.
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 9060 ตำบลหัวหิน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 3 และให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมในโฉนดที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ 1 โดยให้โจทก์มีส่วน 1 ใน 3ถ้าจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่ปฎิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ตามฎีกาของจำเลยที่ 1และที่ 3 ว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 9060 ตำบลหัวหิน อำเภอหัวหินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1และฟังได้จากทางนำสืบของโจทก์ ซึ่งฝ่ายจำเลยมิได้นิสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นด้วยว่าโจทก์สมรสกับจำเลยที่ 1 มาแต่ พ.ศ. 2475ยังมิได้หย่าร้างกัน ดังนั้นโจทก์ย่อมมีสิทธิร้องขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของรวมกันในโฉนดที่ดินดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1475 และถ้าจำเลยที่ 1จะขายที่ดินแปลงนี้ก็ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์หรือให้สัตยาบันเสียก่อนการขายนั้นจึงจะสมบูรณ์ มิฉะนั้นโจทก์อาจขอให้ศาลเพิกถอนการขายนั้นได้ เว้นแต่จะปรากฎว่าในขณะที่ซื้อขายผู้ซื้อได้กระทำการโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480ซึ่งในการขายที่ดินโฉนดที่ 9060 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3ในคดีนั้นก็ฟังได้จากทางนำสืบตรงกันของทั้งสองฝ่ายไม่ได้รับความยินยอมหรือการให้สัตยาบันจากโจทก์แต่อย่างใด ฉะนั้นการเพิกถอนการซื้อขายรายนี้จึงอาจทำได้ถ้าโจทก์พิสูจน์ได้ว่าจำเลยที่ 3ซื้อโดยไม่สุจริต
เกี่ยวกับความสุจริตของจำเลยที่ 3 นี้ โจทก์มีตนเองกับนายจินดา ชัยรัตน์ ยืนยันว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 อยู่บ้านคนละหลังในบริเวณเดียวกัน โดยจำเลยที่ 1 อยู่กับจำเลยที่ 2 และบุตรแสดงว่าจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรคนหนึ่งของจำเลยที่ 1 ต้องทราบถึงฐานะความเป็นอยู่ ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวของโจทก์จำเลยที่ 1เป็นอย่างดี และจำเลยที่ 3 น่าจะมีความผูกพันกับจำเลยที่ 1เป็นพิเศษด้วย พยานโจทก์ดังกล่าวยืนยันตรงกับจำเลยที่ 1 ด้วยว่าโจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายสิทธาเพิกถอนการโอนที่ดินและให้ใส่ชื่อโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2512 และศาลฎีกาให้โจทก์ชนะคดีในปี พ.ศ. 2518 ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 442/2518 ซึ่งในช่วงเวลาระหว่างคดีนี้เทียบอายุจำเลยที่ 3 จากคำเบิกความของจำเลยที่ 1 เองจะอยู่ระหว่าง 15 ปีถึง 23 ปี ประกอบกับจำเลยที่ 3 อยู่กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และมีการศึกษาดี จึงย่อมรู้และเข้าใจในมูลและผลแห่งคดีดังกล่าวได้ จำเลยที่ 3 เองก็เบิกความเจือสมไว้ด้วยแล้วเคยทราบว่ามารดาและพี่ชายเคยถูกโจทก์ฟ้องขอเพิกถอนการโอนที่ดินบางแปลงมาแล้ว แสดงว่าจำเลยที่ 3 ทราบดีว่าโจทก์ยังเป็นภรรยาจำเลยที่ 1 อยู่ บังมีสิธิมีส่วนในทรัพย์สินทั้งหลายร่วมอยู่กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จะจัดการโอนไปตามลำพังโดยปราศจากการยินยอมของโจทก์หาได้ไม่ ทั้งจำเลยที่ 3 ก็เบิกความรับอยู่อีกว่าในวันโอนที่ดินแปลงพิพาทได้ทราบจากพนักงานที่ดินแล้วว่าโจทก์เคยอายัดที่ดินแปลงพิพาทนี้ไว้ แต่หมดอายุแล้ว ปรากฎตามบันทึกในเอกสารหมาย ล.2ซึ่งการหมดอายุอายัดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 83 เพียงแต่เป็นขั้นตอนให้พนักงานที่ดินทำนิติกรรมต่อไปได้เท่านั้น ไม่ทำให้ผู้แจ้งอายัดเสียสิทธิฟ้องขอเพิกถอนการโอนที่ดินที่อายัดนั้นแต่ประการใดเมื่อจำเลยที่ 3 ยังฝืนรับโอนที่ดินแปลงพิพาทจากจำเลยที่ 1จึงส่อถึงเจตนาอันไม่สุจริต กรณีมีเหตุผลพอที่จะเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินโฉนดที่ 9060 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3และใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมในโฉนดที่ดินดังกล่าวได้ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา2,000 บาท แทนโจทก์.