คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4057-4062/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญารวมเจ็ดสำนวน ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณาและพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทุกสำนวนและให้นับโทษต่อกันตามลำดับสำนวนทุกสำนวน เช่นนี้ จำเลยจะขอให้ศาลหักวันต้องขังให้จำเลยในแต่ละสำนวนทั้งเจ็ดสำนวนไม่ได้ เป็นการขัดกับความจริงและทำให้จำเลยได้รับโทษจำคุกไม่เป็นไปตามคำพิพากษาเพราะจำเลยถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษาตามหมายของศาลฉบับเดียวเท่านั้น และศาลชั้นต้นก็ได้ออกหมายจำคุกนับตั้งแต่วันที่จำเลยถูกคุมขังเป็นต้นไปซึ่งเท่ากับหักวันที่จำเลยถูกคุมขังออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 22 แล้ว

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งเจ็ดสำนวนฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณาและพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง จำคุกจำเลยสำนวนละ ๘ เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยสำนวนละ ๔ เดือน และให้นับโทษต่อกันตามลำดับทุกสำนวน รวมจำคุก ๒ ปี ๔ เดือน
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งหักวันที่จำเลยถูกคุมขังมาแล้วก่อนมีคำพิพากษาในแต่ละสำนวนทั้ง ๗ สำนวน
ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลรวมการพิจารณาแล้วออกหมายขังเพียงฉบับเดียว จำเลยจะนำวันต้องขังที่ซ้ำซ้อนมาขอให้หักอีกย่อมไม่ชอบ ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาขอให้ศาลหักวันต้องขังให้จำเลยเป็นเวลา ๑๕๖ วัน ในแต่ละสำนวนทั้งเจ็ดสำนวนนั้น ขัดกับความเป็นจริง และทำให้จำเลยได้รับโทษจำคุกไม่เป็นไปตามคำพิพากษาเพราะจำเลยถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษาตามหมายของศาลฉบับเดียวเท่านั้นตั้งแต่วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๒๗ ตลอดมาจนถึงวันศาลชั้นต้นพิพากษาคือวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๒๗ และศาลชั้นต้นก็ได้ออกหมายจำคุกนับตั้งแต่วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๒๗ เป็นต้นไป ซึ่งเท่ากับหักวันที่จำเลยถูกคุมขังออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๒ แล้ว
พิพากษายืน

Share