คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2657/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์แจ้งความว่า ย. ทำร้ายร่างกายโจทก์ ขอให้ดำเนินคดีแก่ ย.แม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 จำเลยซึ่งเป็นผู้บังคับหมวดไม่มีอำนาจจับกุมโจทก์โดยไม่มีหมายจับ แต่อำนาจจับกุมตามมาตรา 78 นี้ ก็เป็นอำนาจโดยทั่ว ๆ ไปและมีมาตรา 136 บัญญัติเรื่องอำนาจพนักงานสอบสวนในการจับกุมและควบคุมไว้โดยเฉพาะเมื่อจำเลยเป็นพนักงานสอบสวนคดีที่หาว่า ย. กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย และสอบสวนแล้วได้ความว่าโจทก์ก็เป็นผู้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายด้วย เพราะเป็นเรื่องวิวาทกัน ซึ่งความผิดนี้เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ไม่มีผู้ใดร้องทุกข์หรือกล่าวโทษ เจ้าพนักงานก็ย่อมจับกุมและควบคุมตัวผู้กระทำความผิดไว้สอบสวนได้ จำเลยจึงมีอำนาจจับกุมและควบคุมตัวโจทก์ซึ่งมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าจำเลยในระหว่างการสอบสวนได้ เพียงเพราะเหตุที่จำเลยจับกุมและควบคุมตัวโจทก์ไว้โดยไม่มีหมายจับนั้น จะถือว่าจำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจตำแหน่งผู้บังคับหมวดและเป็นพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอสองพี่น้อง ได้มีปืนเป็นอาวุธจี้บังคับให้โจทก์จำยอมให้จำเลยควบคุมหน่วงเหนี่ยวกักขังให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายและได้รับความเสียหาย โดยกักขังโจทก์ไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอสองพี่น้อง 2 วัน แล้วโจทก์ได้ประกันตัวไปทั้งนี้ โดยไม่มีผู้ใดร้องทุกข์กล่าวโทษ และจำเลยไม่มีอำนาจที่จะทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรค 2, 310 และ 157

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้อง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นเห็นว่าการกระทำตามฟ้องไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรค 2 และความผิดตามมาตรา 310 นั้น ขาดอายุความแล้ว พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 157 จำคุก 2 ปี ข้อหาอื่นให้ยกเสีย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยมีอำนาจควบคุมโจทก์ซึ่งเป็นผู้ต้องหาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 136 และจำเลยไม่มีอำนาจสั่งอนุญาตให้ประกันที่โจทก์ถูกควบคุมตัวอยู่ 2 วัน จึงฟังไม่ได้ว่าเกิดจากการที่จำเลยกระทำมิชอบ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา มีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเฉพาะข้อหาตามมาตรา 157

ศาลฎีกาฟังว่า โจทก์มาแจ้งความว่านายยังทำร้ายร่างกาย ขอให้ดำเนินคดีแก่นายยัง จำเลยสอบสวนโจทก์ในวันนั้น ต่อมานายยังมามอบตัวและจำเลยสอบสวนนายยังในฐานะผู้ต้องหา สอบสวนแล้วได้ความว่า กรณีเป็นเรื่องวิวาทกันระหว่างโจทก์ฝ่ายหนึ่งกับนายยังและนายสมพงษ์อีกฝ่ายหนึ่ง จึงดำเนินคดีแก่บุคคลทั้งสาม นายยังและนายสมพงษ์มามอบตัวแล้วในวันเกิดเหตุโจทก์ขับรถมาจอดห่างสถานีตำรวจราว 10 วา จำเลยตะโกนถามโจทก์ว่าทำไมเมื่อวานนี้ไม่มา โจทก์ว่าฝนตกมาไม่ได้ แล้วจำเลยก็เดินลงจากสถานีตำรวจไปหาโจทก์ที่รถ แจ้งข้อหาและขอจับกุมโจทก์ในข้อหาว่าวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน จำเลยเชิญขึ้นไปบนสถานี โจทก์ก็ยอมขึ้นไป แต่ไม่ยอมลงชื่อในบันทึกการจับกุม จำเลยสั่งให้ลงประจำวันว่าจับโจทก์ในข้อหาว่าวิวาททำร้ายร่างกายกับนายยัง นายสมพงษ์ โจทก์ก็ไม่ยอมลงชื่อในบันทึกประจำวัน จำเลยจึงสั่งให้ควบคุมตัวโจทก์ไว้

วินิจฉัยว่า จริงอยู่ที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 78 นั้น จำเลยไม่มีอำนาจที่จะจับกุมโจทก์โดยไม่มีหมายจับแต่อำนาจการจับกุมตามมาตรา 78 เป็นอำนาจโดยทั่ว ๆ ไป สำหรับกรณีในคดีนี้เกิดขึ้นหลังจากได้มีการสอบสวนในคดีความผิดฐานทำร้ายร่างกายแล้วได้ความว่าโจทก์เป็นผู้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายด้วยเช่นเดียวกัน ความผิดฐานทำร้ายร่างกายนี้เป็นความผิดอาญาแผ่นดินแม้จะไม่มีผู้ใดร้องทุกข์หรือกล่าวโทษเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจจับกุมและควบคุมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ก็ย่อมจะจับกุมและควบคุมตัวผู้กระทำความผิดไว้สอบสวนต่อไปได้ จำเลยเป็นพนักงานสอบสวนในคดีที่มีการกล่าวหาว่านายยังกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ซึ่งมีประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 136 บัญญัติเรื่องอำนาจพนักงานสอบสวนจะจับกุมและควบคุมไว้โดยเฉพาะ ดังนั้น จำเลยจึงมีอำนาจตามกฎหมายที่จะจับกุมและควบคุมตัวโจทก์ซึ่งมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าจำเลยในระหว่างการสอบสวนได้ ในเมื่อคดีปรากฏว่าโจทก์เป็นผู้กระทำความผิดอาญาแผ่นดิน จะฟังแต่เพียงเพราะเหตุที่จำเลยจับกุมและควบคุมตัวโจทก์ไว้โดยไม่มีหมายจับเท่านั้น ว่าจำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหาได้ไม่

พิพากษายืน

Share